ใครที่กังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์ที่เค้านำเทคโนโลยีมาติดตามลูกค้่ากลุ่มเป้าหมาย ต่อไปโลกจริงๆก็อาจโดนกับเค้าด้วยนะ

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาทาง Federal Trade Commission ได้เปิดเวิร์คช๊อปเกี่ยวกับนัยยะความเป็นส่วนตัวของเทคโนโลยี face recognition โดยทุกสายตาจับจ้องไปยังฟีเจอร์ใหม่บน Google+ ที่มีชื่อว่า “Find My Face” ที่เปิดตัวที่นี่ที่แรก ในงานยังมุ่งเน้นไปที่การนำระบบตรวจจับใบหน้ามาใช้แบบ offline ในเทคโนโลยีที่มีชื่อว่าป้ายอัจฉริยะ (smart sign) และการประยุกต์ใช้ด้านอื่นๆ

ลองนึกภาพตามนะ ป้ายอัจฉริยะนี้จะตั้งอยู่ตามศูนย์การค้าต่างๆ เพียงแค่เดินผ่าน ป้ายก็จะเปลี่ยยนรูปภาพหรือโฆษณาสินค้าให้เข้ากับรสนิยมของคุณ นั่นคือสิ่งที่ Intel กำลังพยายามที่จะทำด้วยเทคโนโลยีที่มีชื่อว่า “Anonymous Video Analytics” โดยการใช้เซนเซอร์บนป้ายอัจฉริยะในการตรวจว่าถ้ามีคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ และกำลังมองมาที่ป้าย มันก็จะทำการวิเคราะห์เพศและอายุโดยประมาณ แล้วยิงโฆษณาออกไปให้ตรงกับคนๆนั้น เช่น เด็กวัยรุ่นผู้หญิงอาจจะได้ดูโฆษนาลดราคาเสื้อผ้า ส่วนคนมีอายุอาจจะได้ดูโฆษณาโปรโมทกอล์ฟคลับ เป็นต้น ซึ่งป้ายแบบนี้ได้ถูกนำไปใช้ในหลายที่แล้ว อย่างเช่น Venetian resort และคาสิโนในลาสเวกัส เพื่อใช้แนะนำร้านอาหารและไนท์คลับต่างๆ

การนำซอฟท์แวร์ face detection ของ intel ไปประยุกต์ใช้ในรูปแบบใหม่ๆ นำขบวนโดย SceneTap แอพที่มีให้โหลดทั้งบน iOS และ Android ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานตรวจสอบจำนวนผู้คนในผับและร้านอาหารว่ามีจำนวนเยอะแค่ไหนก่อนตัดสินใจออกจากบ้าน ด้วยกล้องที่ติดตั้งอยู่ในย่านแหล่งท่องเที่ยวกลางคืนและในร้านจะคอยนับจำนวนคนที่เข้ามา รวมถึงประมาณอายุและเพศให้ด้วยว่ามีจำนวนเท่าไหร่ เพียงแค่ดูข้อมูลในสมาร์ทโฟนก็ช่วยให้คณตัดสินใจได้ว่าร้านนี้น่าเที่ยวรึเปล่า เทคโนโลยีตรวจจับใบหน้าที่ล้ำขึ้นไปอีกขั้นก็คือ มันสามารถตีความบอกอารมณ์ของบุคคลนั้นได้ ซึ่งต่อไปมันน่าจะนำมาใช้วัดปฎิกิริยาตอบสนองเมื่อคนได้ดูป้ายโฆษณาตัวนั้นๆ

ในเมื่อสิ่งเหล่านี้กำลังคืบคลานเข้ามาในชีวิตเรา เราควรถามตัวเองหน่อยมั๊ยว่ามันมีอันตรายแค่ไหน? ถ้าข้อมูลเหล่านี้ถูกเก็บอย่างเป็นความลับ ไม่มีการระบุตัวตน แค่ใช้ระบุอายุและเพศเท่านั้น มันก็ไม่เห็นต้องกลัวอะไร แต่ในความเป็นจริงเวลาที่นักการตลาดรู้ว่าคุณคือลูกค้าเป้าหมายที่ซื้อของเค้าจริงๆ เวลาไปซื้อของอะไรคนขายก็มักจะแนะนำของอื่นๆตามเพศ อายุหรือลักษณะภายนอกของคุณ ซึ่งป้ายอัจฉริยะนี้ก็จะทำหน้าที่แบบเดียวกันนี้เหมือนกัน คำถามก็คือแล้วเทคโนโลยีการจดจำใบหน้านี้ควรมีการควบคุมแค่ไหน เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภคในยุคที่เทคโนโลยีและเซนเซอร์ต่างๆพัฒนาได้เร็วมาก

VIA techland