เดี๋ยวนี้เวลาจะสมัครงานเข้าบริษัทหลายๆแห่ง เค้าจะให้กรอกสื่อสังคมออนไลน์ที่คุณใช้เป็นประจำลงไปด้วย

ในเมืองนอกทำถึงขนาดให้คุณล็อกอินเข้าไปให้ผู้สัมภาษณ์งานดูสดๆเลย หลายคนรู้ล่วงหน้าแล้วถึงกับลบข้อความที่ไม่พึงประสงค์,งดใช้งานเฟซบุ้คก่อนสัมภาษณ์ หรือไม่ก็บอกว่าไม่มีเฟซบุ้คไปเลย แต่ต่อไปถ้าใครบอกว่าไม่ใช้เฟซบุ้คอาจจะมีผลต่อการหางานเลยล่ะ เพราะนายจ้างอาจจะตั้งข้อสงสัยว่าคนที่ไม่มีเฟซบุ้คอาจจะมีอะไรผิดปกติหรือมีความลับอะไรปิดบังไว้หรือเปล่า

จากการสำรวจของ Jobvite บริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีสำหรับการสมัครงาน แสดงให้เห็นว่าเหล่านายจ้างหันมาใช้สื่อสังคมออนไลน์ถึง 92% ในการหาพนักงานใหม่ โดยมี LinkedIn เป็นเป้าหมายอันดับต้นๆ รองลงมาก็เป็นเฟซบุ้คและทวิตเตอร์

อย่างบทความล่าสุดของ Tagesspiegel จากเยอรมัน อ้างถึงคำพูดนักจิตวิทยาสองคนว่า “อินเตอร์เน็ตได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราไปแล้ว … คุณสามารถหาเพื่อนเสมือนจริง รวมถึงฟีดแบ๊คด้านบวกได้จากในนั้น”  การเลิกใช้สื่อสังคมออนไลน์แบบเด็ดขาดอาจจะนำมาซึ่งการปลีกตัวเองจากสังคมก็เป็นไปได้ ในบล็อกเทคโนโลยีอย่าง Slashdot ก็ให้เหตุผลไปในทางเดียวกันว่า “การไม่มีเฟซบุ้คน่าจะเป็นสัญญาณแรกที่แสดงว่าคุณพยายามตัดขาดจากสังคม”

นอกจากนี้ยังมีหลักฐานอีกนิดหน่อยที่แสดงให้เห็นว่าคนที่ใช้สื่อสังคมออนไลน์ในระดับที่เหมาะสมจะมีแนวโน้มที่จะมีสุขภาพจิตที่ดี ส่วนคนที่ไม่มีหรือไม่ได้ใช้เฟซบุ้คมักจะมีอาการหดหู่หรือซึมเศร้า ข้อมูลนี้ได้มาจากงานวิจัยวัยรุ่นจำนวนมากกว่า 7,200 คน ถ้าสนใจก็หาอ่านได้ใน journal Pediatrics ค่ะ

ประเด็นหลักๆตอนนี้ก็คือตอนนี้การศึกษาความเชื่อมโยงระหว่างการใช้สื่อสังคมออนไลน์และภาวะทางอารมณ์ยังมีไม่มาก แต่นายจ้างเริ่มรับรู้ว่าการใช้สื่อสังคมออนไลน์มีผลต่อการคัดเลือกพนักงานใหม่ หากคนไหนไม่ได้ใช้ก็อาจจะส่งผลต่อการรับเข้าทำงาน ดังนั้นทุกการกระทำที่คุณทำบนโลกออนไลน์ต่อไปจะตัดสินชีวิตและอนาคตคุณได้เลยนะ เพราะฉะนั้นก่อนจะทำหรือโพสต์อะไรลงไปในอินเตอร์เน็ตควรคิดให้รอบคอบนิดนึง ไม่งั้นมันจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวคุณเองได้ค่ะ ด้วยความปรารถนาซี

VIA moneyland