ใครที่ฝันว่าอยากจะเป็นเจ้าของรถยนต์ไร้คนขับ ตอนนี้มันใกล้เป็นความจริงแล้วล่ะ จากรายงานของ KPMG และ Center for Automotive Research บอกว่ามันจะเริ่มวางจำหน่ายได้ภายในปี 2019
อุตสาหกรรมรถยนต์ได้ทดลองรถยนต์ไร้คนขับมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว เริ่มต้นมาตั้งแต่ยุค 1950s ด้วยรถยนต์รุ่น Firebird II ของค่าย GM ที่ออกแบบมาให้เคลื่อนที่ไปบนท้องถนนด้วยการนำทางของสายไฟฟ้าที่ฝังไว้ในถนน
แต่รถยนต์ในปัจจุบันมีคอมพิวเตอร์และเซนเซอร์ในการจัดการกับฟังก์ชั่นการขับรถพื้นฐาน ลองนึกภาพรถยนต์จอดด้วยตัวเองหรือระบบเบรคอัตโนมัติที่ป้องกันการชนที่ความเร็วต่ำๆ นอกจากมันจะทำให้คนขับสบายขึ้นแต่ความปลอดภัยก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
ล่าสุดทางกูเกิลก็ได้ทำการทดลองวิ่งรถไร้คนขับเป็นระยะทางมากกว่า 200,000 ไมล์แล้ว แต่นี่ก็ยังถือเป็นแค่ก้าวแรกที่จะนำไปสู่รถยนต์ไร้คนขับอย่างแท้จริงในอนาคต ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คิดว่าเราอาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 ปีกว่าที่มันจะวางจำหน่ายได้ แต่ในรายงานฉบับล่าสุดมีการพยากรณ์ว่าเราอาจจะได้ใช้งานมันเร็วกว่านั้น
แม้ว่าจะยังไม่มีอะไรที่ยืนยันได้ว่าคำพยากรณ์นี้จะเป็นจริงหรือไม่ แต่อย่าลืมว่าเทคโนโลยีเดี๋ยวนี้พัฒนาไปเร็วมาก และเทคโนโลยีที่จำเป็นที่ต้องพัฒนาให้ฉลาดที่สุดก่อนปี 2019 ก็คือ “sensor-based technologies” และ “connected-vehicle communications” จำเป็นต้องพัฒนาให้มาบรรจบกันให้ได้ รถยนต์จำเป็นต้องสามารถสื่อสารกับรถคันอื่นๆบนถนนให้ได้เพื่อไม่ให้เกิดการชนกัน นอกจากนี้รถยนต์ยังจำเป็นต้องมีประสาทสัมผัสและตอบสนองกับปัจจัยพื้นฐานโดยรอบ เช่น ป้ายหยุด, เสาไฟฟ้า, สัญญาณจราจร, ไม้กั้นทางรถไฟ,ป้ายและสัญลักษณ์จราจรต่างๆ
ตามทฤษฎีแล้วอุปสรรคของเทคโนโลยีเหล่านั้นไม่ยากเกินที่จะเอาชนะได้ เพราะค่ายรถรายใหญ่อย่าง Toyota, Nissan, Volvo, Honda, Hyundai ก็ทดลองวิ่งรถยนต์ไร้คนขับมาเป็นเวลาหลายปีแล้วเช่นกัน แต่คำถามจริงๆก็คือคนอยากจะซื้อรถประเภทนี้รึเปล่า? จากการศึกษาของ J.D. Power พบว่า 37% เจ้าของรถยนต์ในอเมริกาสนใจในเทคโนโลยีรถไร้คนขับ แต่มีเพียง 20% ที่บอกว่า “อาจจะซื้อ” รถไร้คนขับถ้าหากราคาเพิ่มขึ้นมาไม่เกิน 3,000 $ จากราคาเดิม
VIA time