รู้รึไม่ว่าแอพกว่า 7 แสนแอพบนสมาร์ทโฟนเป็นซอมบี้ นั่นก็คือไม่มีการเคลื่อนไหวหรืออัพเดทอะไรเลย เรียกง่ายๆว่าตายไปแล้วนั่นเอง
StarDust บริษัทรับทดสอบบริการบนมือถือ ได้เผยผลการศึกษาที่ทำการเปรียบเทียบแอพจำนวนแอพทั้งหมด , จำนวนผู้พัฒนา, อัตราแอพเกิดใหม่, รายละเอียดวิธีหารายได้ ระหว่าง 3 แพลตฟอร์ม คือ iOS, Windows Phone และแอนดรอยด์
60 % ของ 617,436 แอพใน App store มีรีวิวไม่ถึง 10 รีวิวและไม่มีการอัพเดทอะไรเลย ส่วน Play store มีแอพ 41% หรือ 484,271 แอพ, ด้าน Windows Phone มีแอพถึง 69% ที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน
ในภาพรวมของทั้ง 3 ระบบปฏิบัติการพบว่าแอพเกินกว่าครึ่งนึงไม่มีการเคลื่อนไหวหรืออัพเดทอะไรเลย นั่นเป็นสัญญาณที่ชัดเจนบอกว่าแอพเหล่านั้นมีผู้ใช้หรือรายได้ไม่ถึงเป้าที่ผู้พัฒนาคาดไว้ นอกจากนี้แอพเหล่านี้จะมียอดดาวน์โหลดหรือรีวิวแค่ 2 สัปดาห์แรกเท่านั้น (โดยเฉลี่ยแอพ iOS จะได้รีวิว 80 % ในช่วง 18 วันแรก ส่วนแอนดรอยด์ 16 วันและ Windows Phone 13 วัน
แอพใน Play Store 68 % มียอดดาวน์โหลดน้อยกว่า 5,000 ครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณอันตราย ไม่สามารถทำรายได้คุ้มกับการเขียนแอพใดๆขึ้นมา แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้ทำให้คนพัฒนาแอพน้อยลง โดยเฉลี่ยนจะมีแอพใหม่ทุกแพลตฟอร์มเพิ่มขึ้นวันละ 2,371 แอพ 47% จะเป็นแอพบนแอนดรอยด์ 41% เป็นแอพบน iOS และ 12% เป็นแอพบน Windows Phone
ถึงแม้แอนดรอยด์จะมีแอพเพิ่มมากกว่าแพลตฟอร์มอื่น แต่จำนวนผู้พัฒนาหน้าใหม่ของ iOS กลับเพิ่มขึ้นมากกว่า วันละ 90 คน เทียบกับแอนดรอยด์เพิ่มขึ้นวันละ 75 คน
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ นักพัฒนาแอนดรอยด์จะอัพเดทแอพบ่อยมากกว่าแพลตฟอร์มอื่น โดยเฉลี่ยในหนึ่งวัน iOS จะมีการอัพเดทแอพ 806 แอพ ส่วนแอนดรอยด์อัพเดทวันละ 2,341 แอพ
สิ่งเหล่านี้สามารถอธิบายได้โดยธรรมชาติของแพลตฟอร์มแอนดรอยด์ นักพัฒนาจะทำการปล่อยการอัพเดทแอพเพื่อหวังที่จะทำอันดับยอดนิยมให้สูงขึ้น นอกจากนี้ปัญหา fragmentation ของแอนดรอยด์ยังเป็นอีกปัจัยที่ทำให้คนทำแอพต้องคอยปล่อยตัวอัพเดทแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง
ทางฟาก iOS การอัพเดทจะช้ากว่าเพราะต้องได้รับการตรวจสอบจากแอปเปิ้ลซะก่อน ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลานานเป็นวันหรือสัปดาห์กว่าจะปล่อยให้โหลดได้ นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไม update cycle เฉลี่ยของ iOS อยู่ที่ 2 เดือน แอนดรอยด์เดือนครึ่ง ส่วน Windows Phone เร็วสุดแค่ 1 เดือน
ในด้านของการทำรายได้ App store ของแอปเปิ้ลยังนำมาอันดับหนึ่ง 50% เทียบกับแอนดรอยด์ที่ 32 % แต่ถึงแอนดรอยด์จะน้อยกว่าแต่อัตราการเติบโตก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อ
VIA venturebeat