Samsung โชว์วิสัยทัศน์ “Bringing Calm to Our Connected World” ในงาน CES 2023 พร้อมสร้างประสบการณ์เชื่อมต่อและอนาคตที่ยั่งยืน

ปัจจุบันมีอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมากกว่า 14,000 ล้านชิ้นที่ถูกใช้งานอยู่ทั่วโลก สิ่งที่ซัมซุงเน้นย้ำคือประสบการณ์การใช้งานเพื่อให้ชีวิตสะดวกสบาย ปลอดภัย เพื่อให้อนาคตดีขึ้น แต่ปัญหาในปัจจุบันคือ คืออุปกรณ์เหล่านี้มักจะถูกรบกวน หันเหความสนใจของผู้ใช้ รวมถึงความยากในการเชื่อมต่อ

นั่นคือความเป็นไปได้ที่เราสัญญาจะเติมเต็มประสบการณ์เชื่อมต่อให้สมบูรณ์เพื่อให้ใช้ชีวิตง่ายขึ้น Samsung มองว่านี่คือโอกาสในการโชว์วิสัยทัศน์ “Bringing Calm to Our Connected World” พานวัตกรรมย้อนไปสู่เป้าหมายที่แท้จริง คือ ช่วยให้มนุษย์โฟกัสกับสิ่งที่สำคัญที่สุด

สิ่งที่ซัมซุงให้ความสำคัญคือเรื่องของการวิจัยและพัฒนา มีการตั้งมีศูนย์วิจัยและพัฒนา 39 แห่งและศูนย์ออกแบบอีก 7 แห่งทั่วโลก ส่วนปีที่แล้ว ซัมซุงได้รวมคนจากหลายธุรกิจสร้างเป็นแผนก Samsung Device eXperience (DX) โดยทีมงานเกือบครึ่งให้ความสำคัญกับประสบการณ์การเชื่อมต่อ ซึ่งเป็นนักวิจัยและวิศวกรจากทั่วโลก มาร่วมทำความเข้าใจและพัฒนา connected experiences สำหรับวันนี้และอนาคต

วิสัยทัศน์ใหญ่ของซัมซุงต้องใช้เวลา, ใช้นวัตกรรมและการร่วมมือกับพันธมิตรทั่วโลก แต่นั่นคือสิ่งที่เรามีความมุ่งมั่นและให้สัญญา เพราะมันคือการใช้ชีวิตและโลกที่ดีขึ้นสำหรับพวกเราทุกคน

สร้างความยั่งยืนเพื่อโลกของเรา 

หนึ่งในการเติมเต็ม connected future คือการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน ซัมซุงเปิดให้ทุกคนมีส่วนร่วมในภารกิจปกป้องโลกของเรา เริ่มตั้งแต่การประหยัดพลังงานที่ใส่มาตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบผลิตภัณฑ์ รวมถึงเพิ่มฟีเจอร์อย่าง SmartThings Energy ช่วยประหยัดไฟ จนไปถึงขยายความร่วมมือไปสู่พันธมิตร ภาครัฐและเอกชน โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้คนมีส่วนร่วมกับความยั่งยืนของโลกทั้งในปัจจุบันและอนาคต

  •  ซัมซุงตั้งเป้าหมายองค์กรเพื่อให้บรรลุ net zero carbon emissions และดำเนินธุรกิจด้วยพลังงานหมุนเวียน100% ภายในปี 2050 (ส่วน DX ตั้งเป้าเปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ภายในปี  2027 และ net zero carbon emissions ภายในปี 2030) 
  •  ตั้งกลยุทธ์หลัก ผนวกความยั่งยืนเข้าไปในประสบการณ์ใช้งานผลิตภัณฑ์ต่างๆ
  • ในแง่การประหยัดพลังงาน เครื่องใช้ไฟฟ้า, หน่วยความจำและชิปเซ็ต 5G เน้นเรื่องการประหยัดพลังงานที่แท้จริง
  • ทีวีและสมาร์ตโฟนเลือกใช้วัสดุรีไซเคิลมากขึ้น เช่น พลาสติกจากตาข่ายจับปลาเริ่มนำมาใช้กับผลิตภัณฑ์ตระกูล Galaxy มาตั้งแต่ปีที่แล้ว ส่วนทีวีและหน้าจอก็ใช้พลาสติกรีไซเคิลเพิ่มขึ้น 30 เท่า
  •  SHEMS Certification: เครื่องหมายรับรองความพยายามของซัมซุงในการบริหารจัดการและระบบอัตโนมัติของ connected device  เพื่อลดการใช้พลังงาน ซึ่ง Samsung เป็นบริษัทแรกที่ได้การรับรอง SHEMS certification จาก EPA. 
  • SmartThings/SmartThings Energy: ตอนนี้มีอุปกรณ์มากกว่า 10 ล้านชิ้นที่เชื่อมต่อกับแพลตฟอร์ม SmartThings ซึ่งบริการนี้มี SmartThings Energy และโหมด AI Energy Saving เพื่อช่วยประหยัดพลังงานและลดการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม
  • จับมือกับ Siemens ร่วมพัฒนา SmartThings Energy เพื่อให้บ้าน 11,000 ครัวเรือนในโคโลราโดให้ได้รับประสบการณ์  net-zero
  • เปิดกว้างทุกความร่วมมือเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน ผลักดันการเปลี่ยนแปลงไปอยู่ในมือผู้บริโภค
  • ร่วมมือกับ Patagonia พัฒนาเทคโนโลยีใหม่เพื่อให้เกิดไมโครไฟเบอร์น้อยลง ซึ่งใส่ในเครื่องซักผ้าที่วางขายในยุโรปแล้ว ส่วนเกาหลีใต้จะวางขายเดือนหน้า ส่วนสหรัฐวางขายก่อนสิ้นปี 2023 , 
  • จับมือกับหน่วยงานสิ่งแวดล้อมอย่าง U.S. Environmental Protection Agency (EPA), the Asia Clean Energy Coalition (ACEC), Semiconductor Climate Consortium and Carbon Trust. 

เทคโนโลยีใหม่ (In the Home & On the Go & Security/Privacy): 

Samsung มุ่งเน้น connected experience ไม่ใช่แค่เพื่อวันนี้ แต่มีเป้าหมายคือสร้างรากฐานเพื่ออนาคตด้วยผลิตภัณฑ์และบริการของเรา ซัมซุงได้ร่วมมือกับกลุ่มในอุตสาหกรรมอย่าง HCA หรือมาตรฐานอย่าง Matter
เราได้ค้นพบหนทางในการทำให้อุปกรณ์ทำงานร่วมกันได้ดียิ่งขึ้นผ่านความร่วมมือกับกลุ่มในอุตสาหกรรมอย่าง HCA หรือมาตรฐานอย่าง Matter 

ชีวิตในหนึ่งวันที่ให้ connected experience ดีขึ้น:

  • ตอนเช้า: ทำให้ทุกเช้าราบรื่นด้วย SmartThings Home Monitoring ที่ทำงานร่วมกับอุปกรณ์  SmartThings ช่วยให้ติดตามการทำงานต่างๆในบ้าน ยกตัวอย่าง เช็กว่าลืมปิดอุปกรณ์ไหนก่อนรีบออกจากบ้านได้ผ่าน SmartThings Home Monitoring บนมือถือ
  • ตอนบ่าย: ขณะทำงาน เราสามารถตรวจสอบสัตว์เลี้ยงที่บ้านผ่าน SmartThings Pet Care ด้วยการใช้กล้องบนสมาร์ตทีวีคอยสอดส่อง ในกรณีที่มีเสียง ควันหรือการเคลื่อนไหวผิดปกติก็จะแจ้งเตือนทันที นอกจากนั้นยังทำงานร่วมกับ JetBot AI+ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆด้วย
  • ตอนเย็น: หลังเลิกงาน สามารถใช้ SmartThings Cooking เพื่อเตรียมอาหารเย็น ช่วยแนะนำเมนูและส่วนผสมที่เหมาะกับสุขภาพ ,ดูวิดีโอสอนทำผ่านหน้าจอ 32 นิ้วบนตู้เย็น Family Hub ถ้าคิดอะไรไม่ออกก้ดูเมนูแนะนำจาก community ได้ ทั้งหมดนี้เชื่อมโยงการทำงานกับแอปสุขภาพบนนาฬิกาอัจฉริยะและสมาร์ตโฟนเพื่อให้ได้อาหารที่เหมาะกับสุขภาพของแต่ละคนมากขึ้น
  • ออกกำลังง่ายๆผ่าน Smart Trainer แนะนำผ่านจอทีวี รวมถึงใช้กล้องมาตรวจจับท่าทางของเราว่าทำถูกต้องรึไม่
  • SmartThings Station: Hub อัจฉริยะที่ฝังในแท่นชาร์จไร้สาย ขนาดเท่าฝ่ามือ เชื่อมต่อการทำงานของทุกอุปกรณ์ในที่เดียว เพียงแค่กดปุ่มสั่งงานเท่านั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ Hub Everywhere และทำให้การตั้งค่าเข้าถึงและง่ายขึ้น นอกจากนั้นยังสามารถตั้งค่า Night Mode เพียงแค่วางชาร์จมือถือก็จะสั่งปิดไฟ ปิดทีวี เปิดแอร์ให้ทันที
  • มาตรฐาน Matter เปิดกว้างพันธมิตรใหม่ เช่น Amazon , Ring และพันธมิตรรายล่าสุดคือ Philips Hue ทำให้ sync การทำงานของหลอดไฟ Phillips Hue ให้แสดงผลสีสันตามคอนเทนท์ที่แสดงบนสมาร์ตทีวีของซังซุง เพื่อให้ได้รับความบันเทิงเพิ่มขึ้น เพียงแค่โหลดแอป Philips Hue sync มาเพิ่มเท่านั้น

  • Knox Matrix: ทุกอุปกรณ์จำเป็นต้องมีการป้องกันที่แน่นหนา Samsung Knox เน้นหลักการความเป็นส่วนตัวของ Samsung ประกอบด้วย ความโปร่งใส การป้องกันและเลือกได้ ซึ่ง Knox Matrix เน้นตั้งค่าง่าย รองรับการยืนยันอัตโนมัติ (automatic verification) ทำให้เวลาที่เราเชื่อมต่ออุปกรณ์ Smart home ใหม่ ก็จะลงทะเบียน Knox Matrix ให้เหมือนที่เคยลงไว้กับอุปกรณ์อื่น  ด้วยความที่มันถูกสร้างบนแพลตฟอร์มรักษาความปลอดภัยเกรดเดียวกับกองทัพ เมื่อเราเชื่อมต่อๆอุปกรณ์ SmartThings และ Knox Matrix ฟีเจอร์สำคัญดานความปลอดภัยจะทำงานทันที นั่นก็คือ
    o Credential Sync: รักษาความปลอดภัยของข้อมูลขณะย้ายข้อมูลจากอุปกรณ์หนึ่งไปยังอีกอุปกรณ์.
    o Trust Chain: ช่วยให้อุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตสามารถตรวจจับภัยคุกคามซึ่งกันและกัน โชว์การแจ้งเตือนเมื่อถูกจู่โจม และแชร์การรับมือกับระบบที่ถูกบล็อก
  • ประสบการณ์ในห้องโดยสารรถยนต์: Samsung และ Harman ร่วมพัฒนาประสบการณ์ในรถยนต์ ที่ยกระดับความฉลาด ความสะดวกสบายและ personalization ในชื่อว่า in-car experience (ICX) ด้วย ICX ทำให้ซัมซุงเป็นผู้นำในการสร้างประสบการณ์ใหม่ด้วยการ หลอมรวมเทคโนโลยียานยนต์อย่างเรดาร์, กล้องและเซนเซอร์กับความเชี่ยวชาญของ Harman เพื่อสร้างความปลอดภัยและลดความเครียดบนท้องถนน

    Ready Care: คือหัวใจของ ICX หลายคนอาจคุ้นเคยการใช้กล้องและเซนเซอร์จับการเคลื่อนไหวของดวงตา แต่ระบบนี้เหนือขึ้นไปอีกดขั้น ด้วยการใช้ AI เก็บและประมวลผผลข้อมูลจากเซนเซอร์เพื่อวัดความเหนื่อยล้าและความเครียดในการขับขี่ โดยความเหนื่อยล้าจะจับจากดวงตา เพลง เสียงเด็กร้อง และสภาพนอกรถ ส่วนความเครียดขณะขับขี่จะวัดจากเแสง อุณหภูมิ เส้นทางการขับขี่ หากพบว่าคนขับเข้าข่ายเสี่ยงก็จะแจ้งเตือนให้รู้ทันทีเพื่อเพิ่มทางเลือกในการจัดการกับสถานการณ์ได้ดียิ่งขึ้น

    รวมถึงใช้ข้อมูลร่วมจากนาฬิกาอัจฉริยะและแอป Samsung Health มาสอดส่องสถานะคนขับอย่างอัตราการเต้นของหัวใจ อัตราการหายใจได้แม่นยำขึ้น

เทคโนโลยีแห่งอนาคต: 

การพัฒนาเทคโนโลยีที่จะออกมาในอนาคต ทางซัมซุงโฟกัสที่การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยเสริมและยกระดับการใช้ชีวิตผ่านรูปแบบของเอไอ เช่น Spatial AI ซึ่งซัมซุงมองว่าเป็นกุญแจสำคัญของ connected living ยุคถัดไป

Spatial AI: ช่วยให้หุ่นยนต์เข้าใจถึงความต้องการของผู้ใช้ และรูปแบบการใช้ชีวิตในบ้าน ทำให้เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระเพื่อให้ทำงานบ้านได้ง่ายขึ้น เช่น หุ่นยนต์ดูดฝุ่น Jetbot ที่ใช้ข้อมูลจากเซนเซอร์มาสร้าง Digital Map ของบ้าน เข้าใจวัตถุต่างๆในบ้านได้ดีขึ้น

เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆเข้าใจบริบทตัวเองดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น สั่งงานด้วยเสียงเปิดทีวี ระบบอาจจะไม่เข้าใจว่าสั่งให้เปิดเครื่องไหน แต่ Spatial AI จะเข้าใจผู้ใช้มากขึ้นด้วยการสั่งเปิดเครื่องที่อยู่ใกล้ที่สุด

Generative AI: อีกงานวิจัยแถวหน้าของซัมซุง ที่พยายามสำรวจและขยายขีดความสามารถให้ใช้งานได้หลากหลายขึ้น

Relúmino Mode: พัฒนาโดย C-Lab ของซัมซุงซึ่งจะเพิ่มเข้าไปในทีวีรุ่นใหม่ๆที่จะวางขายในปี 2023 เพื่อให้ผู้ที่มีปัญหาทางการมองเห็นสายตาเลือนลาง (Low Vision) ดูทีวีได้ชัดเจนขึ้นผ่านการเพิ่มเส้นขอบของคนและวัตถุในวิดีโอพร้อมปรับแสง สี คอนทราส ขยายภาพ เพื่อให้คนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้เท่าเทียม