ปี 2023 เรียกว่าเป็นอีกปีที่มีสมาร์ตโฟนน่าใช้ออกมาหลายรุ่นมาก ซึ่งหลายคนก็เลือกยากมากว่าจะซื้อรุ่นไหนดี เพราะแต่ละรุ่นแต่ละแบรนด์เองก็มีจุดเด่นที่ต่างกัน ทาง DailyGizmo ก็เลยปิ๊งไอเดีย เลือกสมาร์ตโฟนน่าใช้ประจำปี 2023 โดยเอาหลายๆปัจจัยมาใช้ในการตัดสินไม่ว่าจะเป็นเรื่องของประสิทธิภาพของตัวเครื่อง กล้อง แบตเตอรี่ จนไปถึงความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคา

แน่นอนว่าสมาร์ตโฟนแนะนำแห่งปีตกเป็นของ  Xiaomi 13 T/13 T Pro ที่ต้องบอกว่าครบเครื่องแถมคุ้มค่าคุ้มราคาจริงๆ โดยเฉพาะคนที่มองหาสมาร์ตโฟนถ่ายภาพสวย ถ้าคิดถึงกล้อง Leica บนสมาร์ตโฟน ส่วนใหญ่ก็จะนึกถึงรุ่นเรือธงราคาสองหมื่นปลายๆขึ้นไปถึงจะจับจองเป็นเจ้าของได้ แต่วันนี้ทาง Xiaomi เองกลับกล้าเอากล้องระดับโปรมาใส่ในสมาร์ตโฟนราคาไม่ถึง 20,000 บาทให้ผู้ใช้ทั่วไปเอื้อมถึงได้ง่ายๆ นั่นจึงทำให้  Xiaomi 13 T และ 13 T Pro กลายเป็นสมาร์ตโฟนที่หลายคนจับจ้องเป็นเจ้าของ ด้วยคุณสมบัติหลายอย่างที่ไม่แพ้รุ่นเรือธงเลยทีเดียว และนี่คือ 3 เหตุผลที่ทางทีมงาน DailyGizmo คัดเลือกให้  Xiaomi 13 T/13 T Pro ขึ้นแท่นสมาร์ตโฟนแห่งปี

1. กล้องถ่ายภาพระดับโปรที่ร่วมพัฒนากับ Leica 

Xiaomi 13T และ 13T Pro มาพร้อมกล้องถ่ายภาพระดับโปรที่ร่วมพัฒนากับ Leica ทำให้มั่นใจเรื่องการถ่ายภาพในทุกสถานการณ์ ที่สำคัญทั้งสองรุ่นนั้นจะใช้กล้องหลังชุดเดียวกัน ระยะเลนส์รวมถึงความละเอียดเรียกว่าเหมือนกันทุกอย่าง ต่างกันตรงชิปประมวลผลเท่านั้นดังนั้นภาพนิ่งหรือวิดีโอที่ได้นั้นจึงมีความต่างกันไม่มาก 

โมดูลของกล้องหลังนั้นจะเป็นทรงสี่เหลี่ยม ทำมาจากวัสดุที่เป็นกระจก โดยขอบด้านซ้ายขวาจะสโลปลงไป ซึ่งโมดูลนี้จะยื่นออกมาจากตัวเครื่องพอสมควร ดังนั้ใครที่ไม่ใส่ต้องระวังให้ตอนวาง แต่ถ้าใครใส่เคสตรงโมดูลกล้องหลังจะมีปีกยื่นออกมาทำให้เลนส์ไมาสัมผัสกับโต๊ะค่ะ เรียกว่าออกแบบมาเป็นอย่างดีเลย

กล้องหลักเป็นเลนส์มุมกว้างความละเอียดอยู่ที่ 50MP ใช้เซนเซอร์  Sony IMX707 ขนาด 1/1.28″ ซึ่งระยะที่ให้มาเป็น 24mm รูรับแสง พร้อมกันสั่นแบบ OIS เขาใช้เลนส์ Aspherical 7P รับแสงได้มากขึ้น ตัวเลนส์ยังใช้การเคลือบ ALD หลายชั้นซึ่งเพิ่มอัตราการส่งผ่านแสงและลดการสะท้อนของแสงอย่างมาก ในขณะเดียวกันการเคลือบขอบก็สามารถดูดซับแสงสะท้อนด้วยเช่นกัน เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้ผู้ใช้ได้ภาพที่คมชัดและสมจริงมากยิ่งขึ้นเมื่อถ่ายภาพในฉากที่มีการย้อนแสง หรือในที่ที่มีแสงโดยตรงหรือแสงในเมืองยามค่ำคืน

เมื่อเปิดกล้องมา ระบบจะให้เราเลือกโหมด  Leica Authentic Look หรือ Leica Vibrant Look เป็นค่าเริ่มต้นได้ตามที่แต่ละคนชอบ อันนี้จะช่วยปรับค่าให้อัตโนมัติ ตามสภาพแวดล้อมต่างๆ แม้จะไม่เก่งถ่ายภาพก็ถ่ายออกมาสวยได้ เพียงแค่เลือกวางเฟรมภาพดีๆเท่านั้น เพราะ Leica รองรับ DCI-P3 100% อยู่แล้วจึงทำให้เก็บรายละเอียดช่วงสีที่กว้างขึ้นกว่าแบรนด์อื่นๆ ซึ่ง  Leica Authentic Look จะเน้นเรื่องของสีสันสดชื่น ดูมีชีวิตชีวา ส่วน  Leica Authentic Look นั้นจะเน้นความเป็นธรรมชาติ

การถ่ายกลางวันที่มีแสงดีๆ สามารถเก็บรายละเอียดได้ค่อนข้างครบทีเดียว ไดนามิกเรนจ์ค่อนข้างกว้าง ไม่เห็น Noise ตรงส่วนที่มืด ยิ่งถ้าเปิดโหมด  Leica Authentic Look และ Leica Vibrant Look  

ส่วนการถ่ายแบบ Indoor ที่แสงดรอปลงมานิดนึงก็ยังให้รายละเอียดที่ครบ ไม่ค่อยมี Noise สักเท่าไหร่ 

เลนส์ซูมมาดูเรื่องของเลนส์ซูมกันบ้าง ซึ่งตัวเลนส์ซูมนั้นจะอยู่ที่ 2X ความละเอียด 50 ล้าน เหมาะกับการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน ที่ไม่ต้องซูมไกลๆอย่างพวกคอนเสิร์ต ซึ่งคุณภาพก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ 

ต่อมาคือ เลนส์มุมกว้างพิเศษจะให้มาเป็นกล้องอัลตร้าไวด์ ความละเอียด 12MP มีความยาวโฟกัสเทียบเท่า 15 มม. เหมาะสำหรับการถ่ายภาพพาโนรามาและบันทึกทิวทัศน์ที่สวยงามและน่าจดจำอีกด้วย

ส่วนการถ่ายในที่แสงน้อยก็ทำได้ค่อนข้างดีทีเดียว ได้ภายที่คมชัด 

(ตัวอย่างภาพจากกล้องดูได้ที่แกลอรีด้านล่าง)

ถ่ายวิดีโอ

ในรุ่น Xiaomi 13T Pro รองรับการบันทึกวิดีโอที่ 10-bits LOG 4:2:0 H.265 ด้วย Rec.709 LUT ที่ติดตั้งไว้ล่วงหน้าซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เคยมีแค่ในกล้องถ่ายวิดีโอระดับมืออาชีพ ตอนนี้ผู้ใช้สามารถใช้สไตล์ LUT นี้ได้อย่างง่ายดายโดยเลือก LOG ภายใต้โหมด Pro และเลือก Rec.709 LUT เพื่อสัมผัสกับประสบการณ์การรับชมที่สามารถเลือกได้เองโดยสามารถจัดส่ง LUT อันโปรดที่ตั้งค่าไว้ไปยังสมา์ทโฟน ซึ่งผู้ใช้สามารถตรวจสอบและปรับแต่งสีทั้งก่อนและหลังการถ่ายเพื่อให้ได้แสงที่น่าพอใจตามที่ต้องการได้

นอกจากนี้รุ่น Xiaomi 13T Pro รองรับการถ่ายวิดีโอ 8K เพื่อภาพที่คมชัด และน่าทึ่ง ด้วยความละเอียดระดับ Ultra-high ซึ่งเป็นระดับเทียบเท่ากับโรงภาพยนตร์ กล้องไวด์ 50MP รองรับ OIS และ EIS ทำให้เราสามารถถ่ายวิดีโอที่นิ่งได้ในขณะที่เดินอยู่ซึ่งเหมาะมากสำหรับการถ่าย vlog ในชีวิตประจำวันหรือการเดินทาง

2.สเปกแรง ใช้งานทั่วไปเหลือเฟือ เล่นเกมก็ลื่นปรี๊ด

Xiaomi 13T และ 13T Pro ให้สเปกมาแรงพอตัวในระดับราคานี้ ซึ่งทั้งสองรุ่นนี้จะใช้ชิปประมวลผลที่ต่างกัน โดย Xiaomi 13T นั้นจะมาพร้อมชิป  MediaTek Dimenstiy 8200-Ultra ที่พัฒนาด้วยเทคโนโลยี  4 นาโนเมตรจาก TSMC  ส่วน RAM จะเป็น LPDDR5 ความจุเป็น UFS 3.1 มาพร้อม RAM 12GB + ความจุ 256GB ราคาเริ่มต้นที่ 15,990 บาท

ส่วน Xiaomi 13T Pro จะใช้ชิปเซ็ต MediaTek  9200+ ที่มาพร้อมกับ CPU Octa-core ที่ให้ความเร็วสูงสุด 3.35GHz เพิ่มพลังการประมวลผลในตัวด้วย Arm Immortalis-G715 GPU ซึ่งได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อปรับปรุงการประมวลผลภาพ  โดย RAM จะเป็น LPDDR5X ความจุเป็น UFS 4.0 มีให้เลือก 2 โมเดลคือ รุ่น RAM 12GB + ความจุ 512GB, รุ่น RAM 16GB พร้อมความจุ 1TB ราคาเริ่มต้นที่ 19,990 บาท

Xiaomi 13 T และ 13 T Pro เรียกว่าตอบโจทย์การใช้งานที่ครอบคลุม ไม่ว่าจะใช้งานทั่วไป เข้าโซเชียล การใช้งานหนักๆ จนไปถึงการเล่นเกมกราฟิกสวยๆก็เอาอยู่หมัด

ส่วนแบตเตอรี่ทั้งสองรุ่นนี้ให้มาเท่ากันคือ 5,000 mAH เรียกว่าประสิทธิภาพการจัดการพลังงานทำได้ค่อนข้างดี ใช้งานได้ทั้งวัน ไม่ต้องชาร์จบ่อย  ทั้งสองรุ่นนี้จะต่างกันที่ความไวในการชาร์จ รุ่น Xiaomi 13T จะรองรับการชาร์จไวที่  67W ชาร์จได้ 21% ในเวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้น 

ส่วน Xiaomi 13T Pro จะมาพร้อม  Xiaomi 120W HyperCharge ซึ่งสามารถชาร์จเต็มได้ 100% ในเวลาเพียง 19 นาที และชาร์จ 36% ได้ในเวลาเพียง 5 นาที 

ชาร์จเร็วขนาดนี้เรื่องความปลอดภัยหายห่วง เพราะมีการติดตั้งชิปเซ็ต Xiaomi Surge G1 มาให้ด้วย ซึ่งชิปนี้จะที่ช่วยจัดการเรื่องกระแสไฟฟ้า ป้องกันปัญหาเรื่องไฟเกินหรือเครื่องร้อนเกินไป แถมยังเสริมด้วยคุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่น IPX68 เพื่อให้มั่นใจในการใช้งานมากขึ้น

การเล่นเกม

ตัวจอรองรับแตะสัมผัสสั่งงานก็ไวไม่แพ้กัน ไม่มีหน่วงด้วยอัตรา  touch  sampling rate ที่ 480Hz แตะปุ๊บไปปั๊บ ทันใจ แต่ประสิทธิภาพการเล่นเกมของสองรุ่นนี้จะแตกต่างกันนิดหน่อย เพราะใช้ชิปประมวลผลคนละตัวกัน โดยรุ่น Xiaomi 13T Pro นั้นจะใช้ชิปและ GPU ที่แรงกว่า ทำให้เล่นเกมกราฟฟิกหนักๆได้ค่อนข้างลื่นไหลทีเดียว โดยเปิดค่าทุกอย่างสูงสุดก็ยังเล่นได้สบาย

ส่วน Xiaomi 13T นั้นถ้าเป็นเกมทั่วไปที่ไม่ได้มีเอฟฟเกหรือ 3D หนักๆก็เล่นได้ลื่นปรี๊ด แต้ถ้าเป็นเกมที่กินทรัพยากรหนักๆ อย่าง Genshin Impact ถ้าเปิดการตั้งค่าทุกอย่างไว้สูงสุด จะทำให้เฟรเรตตกลงไป ถ้าตั้งค่าแบบกลางๆไว้ก้เล่นได้สบายๆ

ทั้งสองรุ่นเอาใจคอเกมด้วยการเสริมแผ่นแช่สแตนเลส (soaking plate) VC ขนาด 5,000 มม. เพื่อช่วยในการกระจายความร้อนจากแบตเตอรี่ได้เร็วขึ้น เพื่อให้ใช้งานได้นานขึ้นโดยที่ประสิทธิภาพเครื่องไม่ตกลงไป

นอกจากนั้นทั้งสองรุ่น Game Mode สามารถปรับการตั้งค่า รวมถึงจัดการการแจ้งเตือนต่างๆไม่ให้รบกวนเวลาเล่นเกมได้ ที่เกิดคาดคือเรื่องของลำโพงคู่ค่ะ ให้เสียงดังมีมิติ แถมยังรองรับ Dolby Atmos ด้วย แม้ไม่ได้ใส่หูฟังก็ดูหนังฟังเพลง เล่นเกมก็ยังได้อรรถรส  

3. ดีไซน์เรียบดูดี จอสวยแสดงสีสันคมชัด เก็บทุกรายละเอียด

แน่นนอกว่าสิ่งที่หลายคนเลือกเวลาซื้อสมาร์ตโฟนก็ต้องเน้นไปที่ดีไซน์ แม้ Xiaomi 13T และ 13T Pro ดีไซน์อาจจะไม่ได้หวีอหวา แต่ต้องบอกว่าแม้จะออกแบบมาในสไตล์เรียบๆ แต่พออยู่ในมือแล้วก็ถือว่าดูดีเลยค่ะ

ดีไซน์ของทั้งสองรุ่นนี้เรียกว่า ถอดแบบกันมาเป๊ะๆ  ขนาดและคุณสมบัติของหน้าจอก็เหมือนกันทุกอย่างเพราะเลือกใช้หน้าจอตัวเดียวกัน คือ จอ CrystalRes AMOLED display ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด 1.5K ให้ความสว่างสูงสุดที่ 2600 Nits 

การแสดงสีสันก็กว้างมากเพราะรองรับ  DCI-P3 color gamut ให้ขอบเขตความกว้างของสีมากถึง 68,000 ล้านสี รองรับ Dolby Vision กับ HDR10+ ให้รายละเอียดที่คมชัด สีสันสมจริง ภาพดูมีชีวิตชีวา ยิ่งจอรองรับ Dinamic Range ทำให้ภาพในส่วนที่มืดก็ยังยังเห็นดีเทลได้ชัดเจน

ส่วนรีเฟรชเรตให้มาเป็นแบบ Adaptive ปรับเปลี่ยนตามคอนเทนท์ที่ใช้งานเพื่อประหยัดแบตเตอรี่ ซึ่งระบบจะปรับได้ตั้งแต่ 30/60/90/120 และสูงสุดที่ 144Hz สำหรับการเล่นเกมหรือดูกีฬาที่เคลื่อนไหวเร็วๆยิ่งลื่นไหล ไม่มีภาพกระตุกให้เห็น

ถ้าใครไม่ชอบให้ปรับเปลี่ยนค่าอัตโนมัติ เรายังสามารถเลือกตั้งค่าหน้าจอให้รีเฟรชเรทเป็นค่าคงที่ระหว่าง 60Hz และ 144Hz ได้ด้วย 

เรียกว่าใครชอบเล่นเกม ใครที่ชอบดูหนังหรือ Sreies ภาพสวยๆจาก Netflix, Prime Video หรือ YouTube ก็รองรับหมด เก็บรายละเอียดได้หมด ทั้งแสง สี หรือแม้แต่เราใช้มือถือไปถ่ายภาพหรือวิดีโอสวยๆมาก็จอของ Xiaomi 13T และ 13T Pro ก็โชว์ดีเทลได้หมด ตอบโจทย์ด้านความบันเทิงสุดๆ

ขอบฝาหลังจะมีความโค้งให้รองรับอุ้มมือของเรา จับกระชับมือมากขึ้น แถมเวลาถือใช้งานนานๆไม่รู้สึกเมื่อยมือ สิ่งที่แตกต่างภายนอกระหว่างสองรุ่นนี้ก็คือผิวสัมผัสด้านหลังค่ะ Xiaomi 13T นั้นจะใช้ฝาหลังแบบกระจกแบบเงางาม ซึ่งอาจจะเห็นคราบรอยนิ้วมือและรอยขนแมวได้ง่าย ส่วน 13T Pro นั้นจะใช้วัสดุที่เป็นหนังวีแกนให้ความรู้สึกนุ่มและกระชับมือเหมือนหนังแท้เลยค่ะ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับคนชอบสไตล์ไหน

ตำแหน่งของปุ่มและพอร์ตต่างๆนั้นจะอยู่ตำแหน่งเดียวกันเป๊ะ โดยปุ่มพาวเวอร์และปุ่มเพิ่มลดเสียงนั้นจะอยู่ด้านขวาของตัวเครื่อง ส่วนด้านบนจะเป็นตำแหน่งของช่องลำโพง และเซนเซอร์อินฟราเรตสำหรับใช้มือถือแทนรีโมตได้ ส่วนด้านล่างจะมีช่องลำโพง ถาดใส่ซิม และพอร์ต USB-C

ความเห็นของทีมงาน

ภาพรวม Xiaomi 13 T และ 13 T Pro ถือว่าเป็นสมาร์ตโฟนระดับกลางค่อนไปทางบนที่น่าประทับใจเมื่อเทียบกับราคาและความสามารถที่ได้ ครอบคลุมทุกด้านการใช้งานทั่วไป เล่นเกม

ที่น่าประทับใจ คือ หน้าจอค่อนข้างโดดเด่นให้สีสันที่คมชัดสมจริง ทั้งดูวิดีโอ เล่นเกม ดูภาพ แถมลำโพงเสียงค่อยข้างดัง ให้เสียงมีมิติ เหมาะกับการดูหนังฟังเพลงได้อรรถรส แม้ไม่ใส่หูฟัง แถมแบตเตอรี่ใช้งานได้นานไม่ต้องชาร์จบ่อย เรียกว่าครบเครื่องเรื่องความบันเทิง 

ที่เป็นจุดขายคือ กล้อง Leica ที่คุณภาพค่อนข้างดีเยี่ยม ให้เอกลักษณ์ภาพในสไตล์ LEICA เลือกได้ทั้งสีแบบธรรมชาติหรือสีจัดจ้านตามที่แต่ละคนชอบ ใช้งานง่าย พร้อมถ่ายภาพได้ทุกสถานการณ์ เมื่อเทียบกับราคาไม่ถึง สองหมื่นบาท เรียกว่าใครเป็นสายถ่ายภาพแล้วอยากหากล้องคู่ใจ นี่ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอีกหนึ่งรุ่นกับสมาร์ตโฟนแนะนำแห่งปี ใครสนใจอยู่จัดเลยค่ะ คุ้มแน่นอน