หลังจากที่ Google เปิดตัว Gemini โมเดล LLM ขนาดใหญ่ที่มีความสามารถรอบด้าน ถือว่าเป็นการเปิดประตูสู่ยุคใหม่ที่มี AI เป็นเครื่องมือขับเคลื่อน มาวันนี้ก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งด้วยการเปลี่ยนชื่อ Bard ให้กลายเป็น Gemini เพื่อสะท้อนความล้ำของเทคโนโลยี AI เข้าสู่ยุคของ Gemini AI อย่างเต็มตัว

Gemini Era

ก่อนหน้านี้ในเดือนธันวาคมปีที่แล้วทาง Google ได้เปิดตัวโมเดล LLM ขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่า Gemini ที่ประกอบด้วย 3 โมเดลย่อยสำหรับการใช้งานที่ต่างกันคือ Gemini Nano, Gemini Pro และ Gemini Ultra ซึ่งสามารถทำงานได้หลากหลายขึ้นไม่ว่าจะเป็นการสร้างรูปภาพ/วิดีโอ/เสียงจากข้อความ ซึ่งทาง Google เองก็พยายามสร้างระบบนิเวศต่างๆให้รองรับการใช้งานได้สะดวกขึ้น โดยนำไปผนวกกับบริการต่างๆของตัวเองผ่าน API ต่างๆเพื่อให้เกิดนวัตกรรมและการใช้งานรูปแบบใหม่ๆ

มาวันนี้ Google ได้ประกาศเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เพื่อให้คนนับล้านทั่วโลกสามารถเข้าถึง AI เพื่อนำไปใช้ประโยชนืได้อย่างมากมาย

รีแบรนด์ Bard เปลี่ยนมาใช้ Gemini

ในส่วนของ Bard นั้นจะมีการเปลี่ยนชื่อมาเป็น Gemini แทน เพื่อให้สะท้อนถึงความล้ำของเทตโนโลยีได้ดีขึ้น เรายังสามารถใช้งานได้ผ่านหน้าเว็บเหมือนเดิมแต่ URL จะเปลี่ยนจาก Bard.google.com จะเปลี่ยนมาเป็น Gemini.google.com แทนโดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์นี้เป็นต้นไป ซึ่งการใช้งานก็ยังเหมือน Bard ทุกประการ รองรับ 40 ภาษาทั่วโลก รวมถึงภาษาไทยด้วย ใช้งานได้กว่า 230 ประเทศทั่วโลก

Gemini Advanced

ต่อมาคือการเปิดตัว Gemini Advanced 1.0 ซึ่งเดิมก็คือ Gemini Ultra นั่นเองซึ่งเป็นโมเดลที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในตอนนี้ ทั้งในแง่ของการให้เหตุผล การเขียนโค้ด การให้คำแนะนำแบบเป็นขั้นตอน การทำงานร่วมกันในเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งนำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย เช่น ใช้เป็นติวเตอร์ส่วนตัว ปรับแต่งการเรียนการสอนได้ หรือช่วยในการวางแผนต่างๆ โดยความสามารถในการทำงานจะเหนือกว่าการใช้ผ่านหน้าเว็บ

ทาง Google ได้เปิดให้ใช้งาน Gemini Advanced อย่างเป็นทางการด้วยการเพิ่มแพคเกจใหม่ในบริการสมัครสมาชิก Google One ในชื่อว่า AI Premium เข้าไปสำหรับใช้งาน Gemini โดยจะ Top up จากแพคเกจพรีเมียม 2TB โดยจะมีค่าบริการเพิ่มเติมเดือนละ 10 ดอลลาร์ จากแพคเกจปกติ

ใครที่สนใจสามารถทดลองใช้งานได้ฟรี 2 เดือน ทุกประเทศที่ใช้ Google One ได้ก็จะมีแพคเกจ AI Premium Plan เพิ่มเข้าไป

ขยายฐานผู้ใช้ด้วยแอป Gemini

นอกจาก Google One แล้ว ผู้ใช้ทั่วไปยังเข้าถึง Gemini ได้อีกช่องทาง คือ แอปบนสมาร์ตโฟนโดยฝั่งของของแอนดรอยด์นั้นสามารถโหลดได้จาก Play Store ได้เลย เมื่อเราติดตั้งลงเครื่องแล้ว Gemini จะกลายเป็นผู้ช่วยหลักของมือถือเราแทน Google Assistant ทันที เราสามารถสั่งงานได้หลายรูปแบบ เช่น พิมพ์ข้อความ, สั่งงานด้วยเสียง, ถ่ายภาพ , แต่งรูป โดยการเรียกใช้งานจะเหมือนกับ Google Assistant ทุกอย่าง เพียงแค่กดปุ่มค้างไว้หรือปลุกด้วย Hello Google

ส่วน Google Assistant ยังไม่ได้หายไปไหนนะ เพราะหลายๆฟีเจอร์นั้น Gemini จะรับคำสั่งเราเพื่อไปบอกให้ Google Assistant ทำงานต่อ เช่น การสั่งงานหรือควบคุมอุปกรณ์สมาร์ตโฮม เป็นต้น

ฝั่งของคนที่ใช้ iOS ต้องบอกว่ายังไม่มี Native App แต่สามารถใช้งาน Gemini ได้ผ่านแอป Google บนไอโฟน ไอแพด

แอป Gemini นั้นจะเปิดให้ดาวน์โหลดในสหรัฐตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป รองรับภาษาอังกฤษก่อน ส่วนไทยที่อยู่ในภูมิภาค APAC จะใช้งานได้ในสัปดาห์หน้าค่ะ ซึ่งจะอัปเกรดให้ใช้งานภาษาจีนและเกาหลีได้ด้วย ส่วนภาษาอื่นๆอดใจรอกันนิดนึงเพราะทาง Google วางแผนที่จะขยายการใช้งานอย่างน้อย 40 ภาษาทั่วโลก

เพิ่มความสามารถของ AI ไปยังบริการอื่นๆ

ทาง Google ยังประกาศนำความสามารถของ Gemini ไปยังบริการอื่นๆของตัวเองในเร็วๆนี้ ที่จะได้ใช้งานก่อนก็คือ Workspace และ Google Cloud

  • Workspace นั้นมีฟีเจอร์ Duet AI ที่เอา AI มาช่วยทำงานต่างๆได้สะดวกขึ้น ซึ่งตอนนี้มีผู้ใช้งานมากกว่า 1 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งทาง google จะเปลี่ยนชื่อ Duet AI เป็น Gemini for Workspace แทน ซึ่งอีกในไม่ช้าผู้ใช้ทั่วไปที่สมัครใช้บริการ Google One ก็จะสามารถใช้งาน Gemini ใน Gmail, Google Doc, Sheet, Slide , Meets ได้ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเขียนร่าง Cover letter, ตอบกลับข้อความโดยวิเคราะห์เนื้อหาที่ส่งมา นอกจากนั้น Google ยังให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวโดยที่เราสามารถควบคุมข้อมูลที่ใช้งานได้
  • Google Cloud ส่วนผู้ใช้องค์กรจะมีการเพิ่มความสามารถของ Gemini เข้าไปใน Google Cloud เพื่อช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เขียนโค้ดได้ซับซ้อนและเร็วขึ้น รวมถึงช่วยปกป้องความปลอดภัยจากอาชญากรไซเบอร์

ทาง Google บอกกว่าการให้บริการนั้นจะแยกกันอย่างชัดเจน คือ Gemini จะเป็นบริการฟรีที่ไม่คิดค่าบริการ ส่วน Gemini Ultra 1.0 จะใช้ชื่อว่า Gemini Advance จะไปผูกกับแพคเกจของ Google One และ Workspace ที่เป็นบริการแบบสมัครสมาชิกรายเดือน และประสิทธิภาพการทำงานจะสูงกว่า ทำงานที่ซับซ้อนได้ดีกว่า