เชื่อว่าทุกวันนี้ไม่ว่าใครก็ตามที่จะขายของก็ต้องทําการตลาด ให้ตลาดรู้จักสินค้า,บริการหรือแบรนด์ของเรานะคะถามว่ามันสําคัญยังไงกับโลกทุกวันนี้ สําคัญมากๆเพราะว่าช่องทางที่พวกเราหยิบใช้กันทุกวันเนี่ยกลายเป็นสมาร์ทโฟน ไอแพดหรือแม้กระทั่งคุณเปิดจอคอมพิวเตอร์ การที่คุณจะเล่นเว็บไซต์เว็บไซต์หนึ่ง รู้จักบริการแอพพลิเคชั่นหนึ่ง ล้วนแต่ผ่านช่องทางการทําการตลาดออนไลน์แทบทั้งนั้น
วันนี้ทีมงาน Dailygizmo ได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณทิป มัณฑิตา จินดา ผู้ก่อตั้งบริษัท Digital Tips Academy ถึงความสำคัญของการทำ SEO บนโลกออนไลน์ อย่างไรถึงจะประสบความสำเร็จ นี่คือกุญแจความสำเร็จที่คนทำ Digital Marketing ต้องรู้
SEO คืออะไร?
ปี 2024 แพลตฟอร์มมีความเปลี่ยนแปลงไปเยอะพอสมควร ก่อนเข้าประเด็นคําถามหลัก เรามาเปิดมุมกว้างกันก่อนว่าคนไทยใช้แพลตฟอร์มอะไรบ้าง?
โลกโซเชียลมีเดียก็มีความเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก อัลกอริทึมเปลี่ยนแปลงอัปเดตตลอดเวลา โดยเฉพาะปีที่แล้วมีเรื่อง AI
ในมุมของจํานวนผู้ใช้คนไทยแน่นอนว่าเฟซบุ๊กก็ยังคงเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่คนใช้เยอะ ถ้าในมุมของแชท เราไม่สามารถละสายตาไปจาก LINE ได้ ซึ่งปีนี้ LINE มีการพูดถึงอีโคซิสเต็มส์ คือ LINE OA, LINE@ และ LINE Shopping เอามาอินทิเกรตกันให้มันได้ผลดีมากขึ้น
แน่นอนค่ะ TikTok ต้องบอกว่ามาแรงจริงๆ ไม่ได้เอนเตอร์เทนอย่างเดียว ตอนนี้มีความเป็นคอมเมิร์ซด้วย เราสามารถดูคลิป ดูเสร็จปั๊บ กดตะกร้าซื้อของได้เลย ทําให้ช่องทางโซเชียลคอมเมิร์ซไร้รอยต่อจริงๆ ปีนี้น่าตื่นเต้นมากสําหรับโซเชียลคอมเมิร์ชค่ะเพราะว่าช่องทางพร้อม ผู้ใช้เองก็ถูกเตรียมไว้พร้อมตั้งแต่โควิด การซื้อขายมันจะเร็วมาก มันจะเป็น 24/7 ซื้อขายกันตลอด 24 ชั่วโมงจริงๆ
จริงๆแล้วเวลาซื้อสินค้าหรือตัดสินใจดาวน์โหลดแอปอะไรสักอย่าง Call to action เป็นภาษาของการตลาด เราต้องทําให้เขาซื้อทันที เป็นอย่างนั้นไหมคะ?
หลายสินค้าเป็นอย่างนั้น ถ้าสังเกตตัวเองสมัยก่อนเวลาจะซื้อของ เราเตรียมตังค์ในกระเป๋า วันนี้เลิกงาน 5โมงเย็นเราจะไปห้าง แต่สมัยนี้บางทีเราแค่ไถฟีดไม่ได้คิดจะซื้ออะไรด้วยซ้ำ แต่แบบเอ๊ะ มันก็เข้าท่าดีนะ กดง่ายอีก จ่ายตังค์ก็ง่ายมันก็แบบเผลอนะ มันลั่น สังเกตว่าทําไมไปรษณีย์มาส่งแบบของมันเยอะขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยคิดว่ามันก็จะเปลี่ยนแลนด์สเคปไปพอสมควรอะไรแบบนี้ค่ะ ข้อดีก็คือผู้ประกอบการก็ทํางานง่ายขึ้น ทุกคนเป็นเจ้าของธุรกิจง่ายขึ้น
มีแกนไหนน่าสนใจบ้าง แกนแรกคิดว่าในมุมของนักการตลาดก็ควรมีมีเรื่องแบรนด์ดิ้ง ภาพลักษณ์ บางทีของในตลาดชนิดเดียวกัน ทำคล้ายๆกัน คุณสมบัติไม่ต่างกัน เพราะฉะนั้น branding เป็นสิ่งที่มีส่วนในการตัดสินใจกับการทํา digital marketing for branding ยังมีแกนอื่นๆอีกมั้ยคะ อยากให้ปูภาพให้แบบทุกๆคนเข้าใจ
ในแง่มุมการทําธุรกิจ ถ้าเราเป็นเจ้าของ product แน่นอนว่าเราอยากจะโตไปอย่างยั่งยืนใช่มั้ยคะ เราก็จะพบว่าตอนนี้มีสินค้าจากหลายๆประเทศเข้ามาโดยเฉพาะจีน ซึ่งราคาต้นทุนเค้าถูกมาก ดังนั้นถ้าวันนี้เราทําแค่สินค้า เราสู้ยากมาก ไม่มีทางจะไปสู้เรื่องต้นทุนขนาดนั้นได้ สิ่งที่เป็นนความเก่งของคนไทยคือการใส่ creative หรือการใส่ภาพจําหรือการสร้าง Story ที่แข็งแรง การส่งมอบที่มากกว่าสิ่งที่เราให้คําสัญญากับลูกค้าไว้ เพื่อให้แบรนด์เติบโตอย่างยั่งยืนและมีที่ยืนในใจลูกค้าให้ได้
สมัยนี้ไมใช่แค่ตั้งคำถามว่าทำออนไลน์ไหม แต่ควรตั้งคําถามว่าเราจะทําออนไลน์ยังไงให้โดดเด่น แตกต่างและมีที่อยู่ในใจของลูกค้าในระดับนึง
ว่าง่ายๆว่าเราไม่ใช่แค่ทําออนไลน์ แต่เราต้องทําการตลาดออนไลน์ให้คนชอบถึงขั้นเป็นสาวก มันก็ดูยาก งั้นเราเริ่มต้นยังไงดี มีหลายช่องทางเหลือเกิน เลือกช่องทางยังไงก่อน
สําคัญมากเลยก็คือ เริ่มจากการรู้จักลูกค้า อันนี้สําคัญที่สุดนะคะไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทําแบรนด์ดิ้งหรือการเลือกช่องทางเพราะว่าเราเองก็มีเวลาจํากัดเช่นกัน เราต้องตอบให้ได้ก่อนว่าลูกค้าเราอยู่ที่ไหน เพราะออนไลน์มีหลายช่องทาง คนที่เป็นเป้าหมายจริงๆอาจจะไม่ได้อยู่ทุกช่องทางนะ
ถ้าเราหาเจอว่าเขาอยู่ตรงไหนแล้วไม่ใช่แค่นั้น ต้องรู้ว่าเขาอยู่ในคอมมิวนิตี้ไหน อันนี้จะช่วยให้เราไปพูดคุยกับเค้าได้ง่ายมากขึ้น สมมตว่าเขาชอบเล่น X มักจะเข้าไปคุยอยู่ในแฮชแท็กแฮชแท็กนึง ถ้าเกิดเรารู้ก็สามารถจะตามเข้าไปเป็นส่วนนึงของคอมมิวนิตี้นั้นได้
อารมณ์เหมือนเราจีบใครสักคนนึง เวลาเราอยากจะแอ๊วใคร เราก็ต้องทำแบบเหมือนไปปรากฏตัวให้เขาเห็นเราบ่อยๆ มันคือจิตวิทยา เวลาเราเห็นใครซักคนบ่อยๆ เห็น product หนึ่ง ไปไหนก็เจอ ไปไหนก็เห็น เขาเรียกว่ามันเหมือนกับมีความคุ้นชิน มี exponential effect ทำให้รู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ
เหมือนตามหลอกหลอน ช่วงแรกๆอาจจะไม่มอง แต่พอไปเรื่อยๆแล้วก็ต้องสนใจบ้าง?
เหมือนแบบเราฟังเพลงบางเพลง รอบแรกอาจฟังไม่เพราะ ฟังไปฟังมาเพลงกลับเพราะขึ้น นั่นคือการจีบลูกค้า เพราะฉะนั้นอันดับแรกเลยก็คือ เข้าใจลูกค้าก่อนว่าเขาอยู่ตรงไหน เขาใช้เวลายังไง แล้วในแต่ละแพลตฟอร์มที่เขาเข้าไป เขาอาจจะมีความคาดหวังที่ไม่เหมือนกัน เราก็ต้องดูว่าจะไปอยู่ตรงนั้นยังไง มันคือทั้งศาสตร์และศิลป์
ศาสตร์ก็คือรู้เชิงเทคนิค รู้คีย์เวิร์ด ศิลป์คือรู้ว่าเราจะเข้าไปคุยยังไง สมมตรู้ว่าลูกค้าใน X แต่ถ้าเกิดทะเล่อทะล่าเข้าไปคุยอะไรก็ไม่รู้ที่ลุกค้าไม่อยากฟัง ลูกค้าก็อาจจะแบบอะไรนะ
ไม่ใช่ว่าการรู้จักลูกค้าอย่างเดียวจะทําให้เราปิดการขายได้ งั้นเราเอาเรื่องที่เป็นศาสตร์จับต้องได้ดีกว่าค่ะ วันนี้เราได้ยินคําว่า SEO เราได้ยินคําว่า online marketing มากขึ้น แล้วเราต้องเริ่มยังไงค่ะ เอา SEO ก่อนค่ะ? ปัจจุบันนี้ยังทํา SEO อยู่มั้ย?
ยังทำอยู่ค่ะ ยังเป็นสิ่งที่สําคัญแล้วก็จําเป็นมากๆนะคะ เริ่มจากพื้นฐานก่อน SEO ย่อมาจากคําว่า Search Engine Optimization คือ ทํายังไงก็ได้ให้คนเนี่ยเสิร์ชแล้วเจอเราในกูเกิลหรือในเครื่องมือเสิร์ชเอนจินต่างๆ
ถามว่าสําคัญยังไง สําคัญมากเพราะว่าคนที่ค้นหาคือ คนที่สนใจ เช่น สมมติอยากจะซื้อเครื่องฟอกอากาศ เราก็จะค้นหาใช่มั้ยคะ แปลว่าคนๆนั้นมี intent มีความตั้งใจที่อยากจะได้อะไรสักอย่าง เค้าถึงเข้าไปค้นหา วันนี้เราไม่ได้จะปรากฏตัวต่อหน้าคนทุกทุกคน แต่จะปรากฏตัวต่อหน้าคนที่เค้ามีความตั้งใจอยากซื้อของ
บางทีเวลาเราทําการตลาดแบบกวาด มันไม่ได้จําเป็น สิ้นเปลืองด้วยซ้ำ ใครที่กําลังค้นหาอยู่ก็แปลว่าเค้าจะหาแล้วควรจะต้องเจอเรา แต่เราก็เคยได้ยินมาว่าปัจจุบันสินค้าส่วนใหญ่มันไม่ได้อยู่ใน Google แต่ไปอยู่ใน Shopee, Lazada หรือช่องทางต่างๆที่คนจะเข้าไปแล้วซื้อของได้เลย แล้วก็มีบาร์ที่ค้นหาได้เลย อย่างนี้แล้วเราจะขายของผ่านกูเกิลหรือ Shopee และ Lazada แบบไหนมีประสิทธิภาพกว่ากัน?
เอาจริงๆ สําคัญหมด มันอยู่ที่ว่าเราตีโจทย์ว่า เราจะอยู่ในมาร์เก็ตเพลสด้วย แล้วเราก็ต้องการจะให้คนเสิร์ชหาเราเจอในพวกเสิร์ชเอ็นจิ้น ถ้าเรามีโปรดักส์ที่คนมีพฤติกรรมต้องเสิร์ชหา ก็แปลว่าช่องทางเหล่านั้นสําคัญ
มันก็อยู่ที่การวาง สมมตถ้าเป็นสินค้าที่ตัดสินใจยาก เช่น คลินิกรักษาข้อเข่าหรือเป็นสินค้าที่มีความซับซ้อนขึ้นมา อันนี้พฤติกรรมคนส่วนใหญ่จะเสิร์ชในเสิร์ชเอ็นจิ้นเพื่อหาข้อมูลเยอะขึ้น แต่ถ้าเป็นของทั่วไป ของที่เราไม่ได้แบบอะไรเจาะจง เช่น สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป คนอาจจะเสิร์ชในมาร์เก็ตเพลสหรือโซเชียลมีเดีย
ต้องดูว่าสินค้าเราเป็นอะไร แล้วลูกค้าหลักๆเนี่ยเสิร์ชหาเราด้วยช่องทางแบบไหน วันนี้ถ้าเรารู้ว่าลาซาด้าเขาก็อยู่ เสิร์ชเอ็นจิ้นเขาก็มา แปลว่าทุกช่องทางสําคัญหมด ส่วน Social SEO ก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง
แปลว่าก็ต้องคิดให้ครอบคลุมลงทุกรายละเอียด แต่ทุกวันนี้เทคโนโลยีมาใหม่ คนไม่ได้เริ่มเสิร์ชหาของแล้ว แต่เริ่มถาม ChatGPT วันนี้เราต้องให้น้ําหนักกับอะไร ต้องติดตามอะไรบ้างเพื่อให้การตลาดของเราสัมฤทธิ์ผลที่สุด
สิ่งที่ต้องตามมีสองแกน แกนแรกในเรื่องของเทคโนโลยี เราก็ควรจะต้องรู้ เพราะว่าเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่เป็นตัวช่วยเรา เหมือนวันนี้ถ้าเกิดเรารู้ได้ว่าสินค้าที่เคยขาย เมื่อก่อนเค้าหาเราแบบนี้นะ แต่วันนี้เค้าไม่หาเราแบบนั้นแล้ว แปลว่าเราต้องตามดู ตามให้รู้ว่าสิ่งที่เขาใช้คืออะไร เทคโนโลยีตรงนั้นจะช่วยเราได้ยังไงบ้าง ซึ่งก็เป็นองค์ความรู้ที่ผู้ประกอบการต้องทําการบ้าน ในอีกแกนหนึ่งที่คู่ขนานกันไปก็จะกลับมาที่พฤติกรรมลูกค้า สองส่วนเนี่ยต้องทำไปพร้อมๆกันค่ะ
ไม่ว่าธุรกิจจะออนไลน์หรือออฟไลน์ SEO ก็จําเป็นจะต้องใช้เหมือนกันใช่ไหมคะ
ใช่ค่ะ ยังไงเขาก็เสิร์ช บางทีเรารู้ว่าเจน Z เนี่ยเสิร์ชใน Instagram หรือ TikTok แปลว่าเราต้องดูคีย์เวิร์ดที่เขาใช้ในการหา คนเสิร์ชในโซเชียลกับคนไปเสิร์ชใน Google ไม่เหมือนกัน เช่น หาในกูเกิลอาจจะเสิร์ชคำว่า “ร้านกาแฟใกล้ฉัน” แต่ถ้าเราไปเสิร์ชใน TikTok เขาจะพิมพ์อีกแบบนึง อันนี้เป็นเรื่องพฤติกรรม แล้วเวลาเขาใช้คําเขาจะใช้คําว่าอะไร แล้วเราจะเข้าไปดักที่ตรงไหนได้ มันเลยทําให้ลูกเล่นของการทําสิ่งเหล่านี้มีความสนุกมากยิ่งขึ้นค่ะ
ถ้าเป็นแพลตฟอร์ม มักจะแนะนําเราให้ลองไปสังเกตคีย์เวิร์ดต่างๆที่เป็นคําค้นหาที่คนไปพิมพ์บ่อยๆ ถ้าเราทําแบบนั้นบางทีเราก็จะถูกค้นหาคนเจอบนแพลตฟอร์มต่างๆ ทีนี้เรามาพูดถึงเรื่องของ SEO กับธุรกิจขนาดเล็กหรือขนาดกลาง SME บ้าง กลุ่มนี้ถือเป็นประชากรส่วนใหญ่ประเทศ แล้ว SME ควรที่จะเริ่มต้นในการทํา SEO หรือ Digital Marketing ด้านใดบ้าง?
สมมุติว่าเราโฟกัสเรื่องของการเสิร์ชแบบให้เจอเราในพวกเสิร์ชเอนจินต่างๆ จักรวาลของเรื่องเนี้ยมันคือการทําการตลาดที่เราเรียกว่า SEM (เสิร์ชเอนจิ้งมาร์เก็ตติ้ง) ซึ่ง SEM มีสองแบบคือ แบบเสียตังค์กับไม่เสียตังค์ พูดง่ายๆว่าคือใช้เงินกับไม่ใช่เงิน
ถ้าเกิดว่าใช้เงินเราก็จะเรียกว่า Pay per Click คือการจ่ายเงินซื้อโฆษณาให้มันปรากฏขึ้น อีกแบบหนึ่งก็คือ SEO ที่เราพูดกันอยู่ คือทําไงก็ได้ให้ติดอันดับการค้นหาและมันก็จะมีเทคนิคอะไรต่างๆมากมาย
ทีนี้จุดที่ผู้ประกอบการจะต้องรู้ ส่วนใหญ่ผู้ประกอบการอาจจะไม่ได้ทําเองแต่จะมีคนที่เป็นสเปเชียลลิปเป็น SEO Specialist ทําให้ สิ่งที่เขาต้องถามว่าแน่ๆเลยก็คือว่าธุรกิจเรา คําอะไรคือคําที่จะเป็นคําสําคัญในการสร้างรายได้
ยกตัวอย่าง เช่น คลินิกรักษาข้อเข่าละกัน ถามว่ามีคนเสิร์ชเรา เขาเสิร์ชคําว่าเข่าเสื่อม, อาการเข่าเสื่อมหรือรักษาเข่าเสื่อม สามคำนี้มีผลต่อธุรกิจไม่เท่ากันนะ คนทั่วไปที่อยากจะรู้ว่า “เข่าเสื่อมมีอาการอะไรบ้าง” เพื่อดูว่าตัวเองหรือคนที่รู้จักเป็นหรือเปล่า แต่ถ้าเขาเริ่มค้นหาคําว่า “รักษาเข่าเสื่อม” ก็จะเป็นคนที่มีอาการต้องการรักษา
สมมตคลินิกเราเป็นคลินิกรักษาเข่าเสื่อมแบบใช้วิธีการธรรมชาติ เราอาจจะมองหาคนที่ค้นหาเจาะจงกว่านั้น เช่น รักษาเข่าเสื่อมแบบไม่ใช้ยา แสดงว่าสองคําหลัง “รักษาเข่าเสื่อม” กับ “รักษาเขาเสื่อมไม่ใช้ยา” เป็นคําที่สําคัญกับธุรกิจเรา สมมติเรามี SEO Specialist เราต้องตอบให้ได้ว่าธุรกิจของเราโฟกัสที่อะไร
สมมตเราเป็นคลินิกความงาม ตอนนี้เรามีหัตถการใหม่ต้องการจะโฟกัสผลิตภัณฑ์ตัวนี้ เราต้องบอกเขาให้ได้ว่าอะไรคือ Priority ที่เราต้องการจะทําก่อน เพราะว่าชีวิตจริงๆเรามีงบจํากัด เราทําทุกอย่างไม่ได้ แล้วก็สิ่งที่เราทำ อาจจะไม่เข้าเป้าหมด มันจะทําให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ดังนั้นอันดับแรกเลยก็คือต้องตอบให้ได้ว่าอะไรที่เราต้องการที่จะโฟกัสก่อน
คือทุกทุกเรื่องในชีวิตเนี่ยก็ต้องการโฟกัสไปทีละขั้น ทํากวาดทําหว่านทั้งหมดอาจจะไม่ได้ผลลัพธ์ หรืออาจจะมอนิเตอร์มันไม่ครบทุกอย่าง มาต่อกันที่เรื่องของการปรับตัวเข้ากับ SEO สําหรับการวางพื้นฐานของคนที่ไม่เคยใช้ไปบ้าง แล้วคนที่เคยใช้วัดผลมีเครื่องมือหรือกลไกอะไรที่ช่วยวัดผลบ้าง
ส่วนใหญ่แล้วจะใช้หลายเครื่องมือวัด เพราะบางครั้งเราดูแค่เขาค้นหาเจอเราแค่หน้าแรกก็พอใจแล้ว อาจจะยังเห็นภาพไม่ครอบคลุม เราจะใช้เครื่องมืออย่างเช่น Google Analytic, Google Search Control หรือ Ahrefs
บางคนอาจจะใช้ SEM Rush แต่ว่าหลักหลักก็คือ Google Analytic สำหรับดูพฤติกรรมคนที่อยู่ในลิสต์เรา ส่วน Google Search Control จะดูว่าคนข้างนอก ค้นหาเรายังไง ส่วนตัวสุดท้าย Ahrefs เป็นเครื่องมือที่ดูว่าตอนนี้เว็บเราเทียบกับเว็บอื่น ใครติดหรือไม่ติดอันดับ ติดด้วยคีย์เวิร์ดอะไร จะทําให้เวลาเราวิเคราะห์ได้หลายมุม เช่น ในมุมของ Aquisition มีคนเข้ามาจากการเสิร์ชแบบออร์แกนิคจริงมั้ย คนเข้ามาแล้วอยู่นานแค่ไหน คือพวกนี้วัดได้หมดเลยค่ะ
มีกรณีศึกษาอะไรที่แบบเรียนรู้มาหรือว่าได้ลองไปใช้แล้วประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
เอาตัวเองละกัน ด้วยความที่ทิปโตมาในสายโซเชียลมีเดีย โตมาในสายโซเชียลคอมเมิร์ซ ในช่วงแรกย้อนกลับไป 7 ปีที่แล้ว ทำแค่ Facebook และ Instagram ก็เพียงพอ ในช่วงแรกก็ไม่ได้มอนิเตอร์เรื่องนี้มาก จนหลังๆเริ่มรู้สึกว่าค่า Ads แพงมากจนจ่ายไม่ไหว เลยต้องกลับมาสู่พื้นฐานการที่เราเอาธุรกิจเราไปฝังในโซเชียลมีเดียมันอาจจะไม่ปลอดภัย เพราะว่าแพลตฟอร์มมันเปลี่ยนบ่อยมาก ก็เลยเลือกโฟกัสเรื่องของเว็บไซต์ของตัวเอง ซึ่งเพิ่งเริ่มทำ 2-3 ปีหลัง
เริ่มจากแก้เว็บก่อน พอเราเริ่มค่อยๆสร้างบ้านเราทีละนิดทีละนิด แล้วก็มันก็เปลี่ยนเยอะ เว็บรองรับ SEO มั้ย คําถามที่สําคัญมากนะคะ เวลาทำเว็บต้องใช้โครงสร้างที่มันรองรับในการทํา SEO เราก็เหมือนรื้อบ้านใหม่ ทําใหม่เลย เริ่มจากการวิเคราะห์คีย์เวิร์ด เสร็จก็วัดผลแล้วก็คอยมอนิเตอร์ ต้องมีการทําทุกเดือน สิ่งที่เกิดขึ้นคือมันช่วยได้มากๆจากเราแบบเคยเป็นที่โหล่ ใครหาไม่ค่อยเจอ กลับมาอยู่ในสายตาผู้คนบ้าง ทําให้การใช้เงินในการยิง Ads เราน้อยลงไปเรื่อยๆ จนทุกวันนี้คือน้อยแบบน้อยมาก ใช้อาศัยการทําคอนเทนต์แล้วก็เสิร์ฟด้วย SEO ไป
น่าสนใจมากคือ SEO การวางแผนของตัวเว็บไซต์ก็เริ่มมีความสําคัญ ตัวอย่างเมื่อสักครู่ที่คุณทิปเล่าให้ฟัง หลายๆคนถ้าเกิดเราอยู่ในโซเชียลเน็ตเวิร์กนานมากเข้า โดยเฉพาะเรื่องสร้างตัวตน เรื่องลงทุนอะไรกับมันไปเยอะมาก พอถึงวันหนึ่งทําไมโหดจังการปิดบิดการมองเห็น ยิ่งเรามีผู้ติดตามเยอะ ทําไมผู้ติดตามที่เยอะนั้นไม่ได้เห็นเราครบทุกคน ทําให้ความพยายามหรือความลําบากในการทําการตลาด ถึงแม้ว่าเราสร้างธุรกิจหรือลงทุนไปมากพอสมควร ก็ยังไม่สัมฤทธิ์ผลเท่าที่ควร
ย้อนกลับมาทําให้ทุกคนคิด ถ้าเกิดเราสร้างบ้านเราขึ้นมา เหมือนเรามีห้างของตัวเอง ไม่ไม่ฝากขายของในห้างคนอื่น ทุกคนเดินมาถ้าทําได้สําเร็จก็ขายได้มากขึ้น ยั่งยืนมากขึ้น ดังนั้นการปูพื้นฐานให้ตัวเว็บไซต์มีความเข้าใจหรือมีพื้นฐานต้องทําให้เว็บไซต์ติด SEO ให้ได้ ต้องเริ่มตั้งแต่ก่อนที่จะสร้างเว็บไซต์เลยเป็นพื้นฐาน
ยากมากมั้ยเค่ะ อย่างเคสพวก WordPress หรือเว็บไซต์อื่นๆ แตกต่างกันยังไงบ้าง?
ไม่ยากค่ะ จริงๆ WordPress ทํามาให้ใช้งานง่ายอยู่แล้วค่ะ จริงๆตอนนี้มีแบบหลายตัวใหม่ออกมาทําให้เราสร้างเว็บได้โดยที่ใช้เวลาน้อยมาก เพราะมันถูกออกแบบมาคล้ายๆกับว่าถ้าวันนี้เราเปิด Facebook ใหม่ได้ เราก็ต้องเปิดหน้าเว็บไซต์แบบนี้ได้ คือมันง่ายขั้นนั้น
ตอนแรกก็นึกว่ายากแล้วก็พอเริ่มทําก็ไม่ได้ยากนี่นา เพื่อนบางคนก็สร้างเว็บแล้วสร้างเว็บอีกจนกลายเป็นเรื่องง่ายไปเลย อยู่ที่ว่าเราต้องลองทำเท่านั้นเอง
สุดท้ายอยากจะให้ฝากพูดถึงเรื่องของการคาดการณ์กลยุทธ์ต่างๆของดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งในปีนี้ที่คนจะต้องใส่ใจแล้วก็สนใจที่จะเข้าถึงมากขึ้นเพื่อทําให้ธุรกิจของตัวเองประสบความสําเร็จ?
เรื่อง AI เป็นเรื่องใหญ่ของพวกเราทุกคน บางทีเจอผู้ประกอบการ เขาอาจจะถามว่ามันเป็นแค่ Hype รึเปล่า มาแล้วมันจะหายไปไหม ในความเป็นจริง AI จะเป็นคลื่นลูกใหญ่มาก เหมือนกับโซเชียลมีเดียมันจะเปลี่ยนโลกอย่างมาก ล่าสุดผู้บริหารของ ChatGPT เพิ่งพูดว่า อีกหน่อยเราจะได้เห็นสตาร์ทอัพยูนิคอร์นแบบใช้ AI แล้วทําคนเดียว มันอิมแพคขนาดนั้น
สมมตว่าเราเป็น SME ผู้ประกอบการ ใช้ AI แล้วมันดียังไง คือ เหตุผลที่เราอยากให้ทุกคนลอง แบบค่อยๆศึกษาเรื่องนี้ลองนึกภาพง่ายๆก็ได้ว่า ถ้าวันนี้ใช้ AI แล้วเรามีเวลามากขึ้นสักวันละหนึ่งสองชั่วโมงมันมีคุณค่าไหม หรือการที่เราใช้ AI แล้วมันทําให้ทีมงานเราไปโฟกัสงานอื่นที่มันมีคุณค่ามากขึ้นมันส่งผลกับธุรกิจไหม เอาแค่เราตอบคําถามสองข้อนี้ได้
ถ้าวันนี้เรามีเวลานอนเพิ่มขึ้น 1 ชั่วโมงก็อาจจะก็ช่วยได้มากแล้ว ดังนั้นสิ่งที่คนทํา คือ ค่อยๆศึกษาเพราะจักรวาลของเอไออะมีเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นการทําคอนเทนต์หรือว่าการทําเรื่องการตลาด ดังนั้นโฟกัสไปทีละอัน ค่อยค่อยเริ่มไปทีละอัน
สมมตอาจจะเริ่มจาก ChatGPT เรามาใช้มาใช้ Bard ที่วันนี้เปลี่ยนชื่อมาเป็น Gemini แล้วดูสิ เปรียบเทียบกันว่าเป็นยังไง Bard ตอนนี้ทำภาพได้แล้วนะแล้วก็ทําง่ายมาก ค่อยค่อยทําไปทีละอันค่ะ พอเราค่อยๆเรียนรู้มันไปก็จะเริ่มมี Learning Curve ซึ่งปีนี้มันยังเหมือนเดินไปพร้อมพร้อมกันอยู่ ถ้าเราไปกระโดดเข้าไปตอนปลายๆ มันจะยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ เราจะเริ่มรู้สึกตามไม่ทันมันเยอะแยะไปหมด ลองเรียนทีละนิดวันละ 10 นาทีก็ได้
เพราะฉะนั้นถามว่าปีนี้อะไรที่จะเปลี่ยนก็คือเรื่องของ AI แล้วก็จะมีผลต่อการทําการตลาดไม่ว่าจะเป็นเรื่องหาคีย์เวิร์ด การค้นหา เรื่องของการซื้อแอปต่างๆ เอไอเข้ามาช่วยเราเยอะได้มากๆ
แต่ไม่ว่าอะไรก็ตาม ตัวโดเมน Knowledge ของเราสําคัญที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการตลาด การเข้าใจลูกค้า ความรู้พื้นฐานยังจำเป็นอยู่ เอา AI เข้ามาเป็นตัวช่วย แต่อย่าพึ่งพาจนลืม โดเมน Knowledge ของเรา เราใช้ AI เป็นแค่ผู้ช่วย อันนี้ก็เป็นสิ่งที่คิดว่าปีนี้ต้องเรียนรู้พร้อมๆกัน
สุดท้ายฝากช่องทาง ติดตามได้ทางไหนบ้าง?
ติดตามได้ที่ Digital Tips Academy ทุกช่องทางทั้ง Facebook, Instagram และ TikTok ค่ะ แล้วก็อย่าลืมติดตาม Ceemeagain ด้วยนะ
ปัจจุบันเราไม่ได้วัดความสําเร็จของธุรกิจด้วยจํานวนของพนักงานกันอีกต่อไปแล้วค่ะ หลังจากที่โลกเข้ามาสู่โลกของ AI เราจะเห็นว่าทั้งแนวทางของการทําการตลาดหรือการดําเนินธุรกิจไม่ได้มีข้อจํากัดอีกต่อไป ข้อจํากัดอย่างเดียวคือ ตัวคุณพร้อมจะเรียนรู้เรื่องใหม่ที่กําลังจะเกิดขึ้นหรือเปล่า
ใครที่อยากติดตามคลิปสัมภาษณ์ฉบับเต็ม อดใจรอไม่นานค่ะ กดติดตามช่องทาง Ceemegain ได้เลยค่ะ