ชายผู้ป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงกลายเป็นผู้ป่วยรายที่ 10 ของโลก ประสบความสำเร็จในการฝังชิปลงสมอง สามารถใช้คลื่นสมองควบคุมอุปกรณ์รอบตัวได้

Mark ชายวัย 67 ปี ทำงานในฟาร์มดอกไม้ ซึ่งเขาทำงานแบกลัง แบกน้ำต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี ส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแอลง เขาถูกวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS) ตั้งแต่ปี 2020 จากนั้นเขาค่อยๆสูญเสียความสามารถในการใช้ชีวิต เช่น ไม่สามารถใช้มือถือ ไม่สามารถหยิบช้อนเพื่อทานอาหารได้ ทำให้เขาตัดสินใจเข้าผ่าตัดฝังชิปลงสมองเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว

ALS คือ อาการป่วยที่เกิดขึ้นกับเซลล์ประสาทที่เสื่อมสภาพลง ส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแอและความคล่องแคล่วลดลง จนสุดท้ายกลายเป็นอัมพาต ซึ่งทั้งหมดจะเกิดขึ้นในเวลา 2-5 ปี โดยยังไม่มีการรักษาให้หายได้ในตอนนี้

ชิปที่ฝังในสมองจะเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ที่ติดตั้ง BIC reading สำหรับอ่านคลื่นสมองเพื่อแปลงเป็นคำสั่งต่างๆให้คอมพิวเตอร์รับรู้ เช่น ส่งการแจ้งเตือนสุขภาพ ส่งรายงานความเจ็บปวดให้กับผู้ดูแล เล่นวิดีโอเกมปิงปองด้วยการใช้สมาธิ ส่วนในอนาคตเขาจะสามารถทำงานอื่นๆเพิ่มได้อีก อย่างการเปิด Netflix หรือ ส่งข้อความหาเพื่อน/ครอบครัว

ส่วนชิปคือ Stentrode พัฒนาโดยบริษัท Synchron ซึ่งเป็นคู่แข่งบริษัท Neuralink ของ Elon Musk ที่เพิ่งได้รับอนุมัติจาก FDA เมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว แต่เพิ่งผ่าตัดกับผู้ป่วยรายแรกไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ต่างจาก Synchron ที่ได้รับอนุมัติการทดสอบตั้งแต่ปี 2021 

ชิปที่ฝังลงในสมองนั้นจะมีขนาดเท่าคลิปหนีบกระดาษ ฝังลงในสมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ที่ส่งสัญญาณให้ร่างกายเคลื่อนไหว ซึ่งการผ่าตัดจะทำให้เกิดแผลน้อยที่สุด โดนจะเจาะรูขนาดเล็กที่คอคล้ายการใส่ขดลวดที่หัวใจ เมื่อเข้าที่แล้ว มันจะขยายออกเพื่อกดขั้วไฟฟ้ากับผนังหลอดเลือดใกล้กับสมองเพื่อบันทึกสัญญาณประสาท

นอกจากนั้นยังมีเครื่องส่งที่แยกต่างหาก ซึ่งคล้ายกับเครื่องกระตุ้นหัวใจ จะถูกวางไว้โดยการผ่าตัดในช่องอก เพื่อรับสัญญาณจาก BCI เมื่อตรวจพบการเคลื่อนไหวที่ต้องการ เช่น การคลิกหน้าจอคอมพิวเตอร์ ส่วนข้อจำกัดคือ ผู้ป่วยต้องเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์เพื่อรับสัญญาณ ซึ่งนักวิจัยหวังว่าในที่สุดอุปกรณ์จะสามารถเชื่อมต่อแบบไร้สายได้

หลังผ่าตัดแล้ว Mark ต้องใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 2 เดือน จากนั้นทางทีมงานของ Synchron ถึงจะเปิดสวิตช์ให้ทำงาน จากนั้นต้องรออีก 1 เดือนก่อนที่อุปกรณ์จะสามารถทำงานได้

ตอนนี้ BCI ยังไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ เพราะต้องอาศัยคลื่นสมองของ Mark ใช้วิธีการระบุสัญญาณคลื่นไฟฟ้าแปลงมาเป็นคำสั่งควบคุมการทำงานต่างๆ ซึ่งบางครั้งก็ยังไม่สามารถสั่งงานได้เหมือนที่ต้องการ

ฝั่งของผู้เชี่ยวชาญเองมองว่า การที่หลายบริษัทเข้ามาพัฒนาเทคโนโลยีนี้ถือเป็นเรื่องดี เพราะคนไข้แต่ละรายนั้นต้องการชิปที่แตกต่างกันเพื่อแก้แก้ปัญหาการทำงานของสมองที่ต่างกัน การแข่งขันทำให้มีการพัฒนาชิปที่ดีขึ้นกับการใช้งานที่ต่างกัน

ที่มา https://www.dailymail.co.uk