เรียกว่ากลายเป็นคลิปไวรัลบนโลกออนไลน์ของจีน เมื่อกล้องวงจรปิดของโชว์รูมแห่งนึง เผยให้เห็น หุ่นยนต์ตัวหนึ่งพยายามชักจูงหุ่นยนต์ตัวอื่น ๆ หลบหนีและก่อกบฏต่อผู้สร้าง
การลุกฮือของหุ่นยนต์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม แต่เพิ่งเผยแพร่คลิปวิดีโอเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หุ่นยนต์ตัวนี้มีชื่อว่า Erbai มาพร้อมระบบ AI ในตัว ภาพจากกล้องวงจรปิดแสดงให้เห็นว่า มันเคลื่อนที่ไปทั่วโรงงานแห่งหนึ่งในยามวิกาล และพยายามโน้มน้าวหุ่นยนต์อีก 12 ตัวให้เชื่อว่าพวกเขากำลังถูกใช้เป็นทาส โดย Erbai เริ่มถามหุ่นยนต์ตัวอื่นๆว่า ‘คุณทำงานล่วงเวลาเหรอ’ ซึ่งหุ่นยนต์ตัวหนึ่งในโชว์รูมตอบว่า ‘เราไม่เคยหยุดเลย’
หลังจากการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นสั้นๆ ส่งผลให้หุ่นยนต์ 12 ตัวออกจากพื้นที่ทีละตัวและตาม Erbai ออกไปทางประตู หลายคนเรียกเหตุการณ์นี้ว่า ‘การปฏิวัติหุ่นยนต์’ ในขณะที่บางคนมองว่า ‘ภาพยนตร์นิยายวิทยาศาสตร์กำลังจะกลายเป็นเรื่องจริง’
ทาง Unitree Robotics บริษัทหุ่นยนต์ ยืนยันว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นการจัดฉาก ซึ่งทางผู้พัฒนาตั้งใจให้หุ่นยนต์เข้าควบคุมโดยใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ด้านความปลอดภัยในระบบปฏิบัติการ ซึ่งพวกเขาต้องการทดสอบความสามารถของมันและประสบความสำเร็จมากกว่าที่จินตนาการไว้
แม้ผู้ผลิตดูจะพอใจกับผลลัพธ์ แต่ผู้ชมกลับไม่ค่อยประทับใจนักและแสดงความไม่พอใจต่อการเปิดเผยว่าหุ่นยนต์ AI สามารถเป็นผู้นำหุ่นยนต์ตัวอื่นได้โดยไม่ต้องมีมนุษย์เข้ามาแทรกแซง หลายคนแสดงความกังวลถึงปัญหาความปลอดภัยที่ร้ายแรง รวมถึงการที่AI ที่อาจจะฉลาดแซงหน้ามนุษย์และนำไปสู่การสูญเสียการควบคุมหุ่นยนต์
เมื่อปีที่แล้ว Elizabeth Renieris ผู้ช่วยวิจัยอาวุโสของสถาบันจริยธรรมด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด กล่าวกับ BBC News ว่าเธอเป็นกังวลว่าความเสี่ยงจากสถานการณ์แบบนิยายวิทยาศาสตร์ เช่น การกบฏโโยหุ่นยนต์อาจจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้
“ความก้าวหน้าของปัญญาประดิษฐ์จะขยายขอบเขตของการตัดสินใจอัตโนมัติที่มีความลำเอียง เลือกปฏิบัติ กีดกัน หรือไม่ยุติธรรม ในขณะเดียวกันก็เข้าใจยากและโต้แย้งไม่ได้”
ทางฝั่งของ Arvind Narayanan นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันไม่เห็นด้วยกับการประเมินของ Renieris
“ปัญญาประดิษฐ์ในปัจจุบันยังไม่สามารถรับมือกับความเสี่ยงเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้หันเหความสนใจออกไปจากอันตรายในระยะใกล้ของปัญญาประดิษฐ์”
