หลังจากที่ Apple เปิดตัว iPad Air รุ่นใหม่ที่มาพร้อมชิป M3 แท็บเล็ตที่ทรงพลังในราคาที่จับต้องได้มากขึ้น วันนี้ทาง Dailygizmo ได้รวม 5 เหตุผลที่ทำให้ iPad Air M3 เป็นอีกรุ่นที่น่าใช้งาน

iPad Air M3 มีอะไรใหม่บ้าง?

iPad Air ถือเป็นแท็บเล็ตที่มีประสิทธิภาพสูง ในราคาที่เข้าถึงได้ง่าย มาพร้อมหน้าจอ Liquid Retina Displat ขนาด 11 และ 13 นิ้วเหมือนรุ่นก่อนหน้า ซึ่งรุ่นใหม่มีการอัปเกรดมาเป็นชิป M3 รองรับการทำงานกับ Apple Intelligence และ Apple Pencil Pro พร้อมเปิดตัว Magic Keyboard ใหม่เพื่อให้ใช้งานใกล้เคียงแล็ปท็อปมากขึ้น

ดีไซน์ยังคงเป็นแบบเดียวกับรุ่นก่อนหน้ามาพร้อมกล้องหน้า 12 ล้าน รองรับ Center Stage ส่วนกล้องหลัก 2 ตัวเดียวความละเอียด 12 ล้านรองรับการถ่ายวิดีโอ 4K มี 4 สีให้เลือกคือ สีฟ้า, สีม่วง, สี Starlight และสี Space gray

  1. ชิปประมวลผลแรงขึ้น

iPad Air พร้อมชิป M3 รองรับตั้งแต่การใช้งานทั่วไปจนไปถึงแอปที่ใช้การประมวลผลหนัก โดยชิป M3 มาพร้อม CPU แบบ 8-core ที่ทรงพลังยิ่งขึ้น ทำให้เวิร์กโฟลว์ CPU แบบหลายเธรดเร็วขี้นสูงสุด 35% เมื่อเทียบกับ iPad Air ชิป M1 นอกจากนั้นยังอัปเกรดให้รองรับ HEVC ระดับ 8K, H.264 ระดับ 4K, ProRes และ ProRes RAW อีกด้วย

2. กราฟิกและความสามารถของ 3D ที่สูงขึ้น

ชิป M3 มาพร้อม GPU แบบ 9-core ในชิป M3 ก็มอบประสิทธิภาพด้านกราฟิกที่เร็วกว่าชิป M1 สูงสุด 40% แม้ชิป M3 นั้นจะมีจำนวน GPU สูงสุดเท่ากับชิป M2 แต่ก็มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานงานให้สูงขึ้นทำให้ได้ภาพที่สวยงามขึ้น สมจริงขึ้น แต่สิ่งที่อัปเกรดจากชิป 2 อย่างเห็นได้ชัดคือเรื่องการการเรนเดอร์ภาพสามมิติ

หนึ่งตัวอย่างที่โชว์ประสิทธิภาพของ iPad Air M3 ก็คือ Morpholio Board แอปยอดนิยมของฝั่งนักออกแบบที่ใช้สร้างโมเดลสามมิติ ที่สามารถสร้างโมเดลได้อย่างรวดเร็ว เลือกใส่รายละเอียดและพื้นผิวได้ตามต้องการ แยกวัตถุออกจากพื้นหลังได้ในเวลาไม่กี่วินาที การตอบสนองต่างๆทั้งการซูมเข้าและซูมออกก็ตอบสนองได้ดีมาก

ส่วนใครที่ชอบเล่นเกมต้องบอกว่า iPad Air M3 ค่อนข้างตอบโจทย์มากขึ้น ด้วยความสามารถในการรองรับเกมระดับ AAA อย่าง Resident Evil, War Thunder บน iPad ด้วยจุดเด่นของชิป M3 ที่มาพร้อมกับ Dynamic Caching  และเรย์เทรซซิ่งที่สามารถเร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์ ต่างจากชิป M2 ที่เร่งด้วยซอฟท์แวร์ ทำให้แสงเงา รวมถึงการสร้างแสงสะท้อนต่างๆในเกมสมจริงขึ้น ทำให้ได้อรรถรสในการเล่นเกมมากขึ้น

3.Apple Intelligence ผสานการทำงานกับแอปต่างๆมากขึ้น

ด้วยหน้าจอที่มีขนาดใหญ่ของ iPad Air ทำให้การใช้งาน Apple Intelligence ได้เต็มตามากขึ้น โดยเฉพาะสายแต่งรูป ด้วย Clean Up ในแอป Photos ช่วยลบสิ่งที่ไม่ต้องการในภาพได้ง่ายขึ้น ซึ่งเราสามารถใช้นิ้วมือวงคนหรือวัตถุขนาดใหญ่ที่ไม่ต้องการในภาพได้เลย หากเป็นจุดเล็กๆในภาพก็สามารถใช้ Apple Pencil วงได้เลย เพื่อให้ได้ภาพที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นเพื่อโพสต์ลงโซเชียลหรือส่งต่อให้เพื่อน/คนในครอบครัว

นอกจากนั้น iPad AIr ยังมี Writing Tool และผสานการทำงานกับ ChatGPT ได้ดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าใครที่กำลังจะไปเที่ยวต่างประเทศ เราสามารถใช้ ChatGPT ช่วยวางแผนท่องเที่ยวได้ แนะนำสถานที่ที่น่าสนใจ สร้างลิสต์รายชื้อสิ่งของที่ต้องนำติดตัวไป รวมถึงใช้ Image Playgroud ช่วยวาดภาพประกอบแผนการท่องเที่ยว

นอกจากแอปของ Apple แล้วยังมีการขยายการใช้งาน Apple Intelligence ไปยังแอป Third Party มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น Notability แอปจดบันทึกยอดนิยมก็ได้ใส่ความสามารถของ Image Playgroud เข้าไปเพื่อให้เราสร้างรูปประกอบได้ ในเร็วๆนี้ Image Playground จะอัปเดตให้ใช้งานใน Final Cut Pro เพื่อช่วยสร้างภาพแล้วลากไปวางในไทม์ไลน์ได้เลย

4.Magic Keyboard โฉมใหม่

Magic Keyboard รุ่นใหม่ที่ออกแบบสำหรับ iPad Air โดยเฉพาะ ด้วยการใช้ดีไซน์แบบยกตัว มาพร้อม ฟังก์ชันคีย์แถวบนสุด 14 ปุ่ม Trackpad ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ส่วนด้านข้างมาพร้อมพอร์ต USB-C สามารถใช้ชาร์จ iPad Air เวลาใช้งานได้

5.ราคาเข้าถึงง่ายขึ้น

ปีนี้ Apple ปรับราคาขาย iPad Air M3 ทุกรุ่นทุกความจุให้เข้าถึงง่ายขึ้น จ่ายในราคาที่ถูกลงแต่ได้ประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยรุ่น 11 นิ้ว Wi-Fi ความจุ 128 GB ราคาเริ่มต้นที่ 21,900 บาท ส่วนรุ่นจอ 13 นิ้ว Wi-Fi ราคาเริ่มต้นที่ 28,900 บาท เรียกว่าถูกลงจากราคาเปิดตัว iPad Air M2 รุ่น 11 นิ้ว Wi-Fi ความจุ 128 GB ราคาเริ่มต้นที่ 23,900 บาท ส่วนรุ่นจอ 13 นิ้ว Wi-Fi ราคาเริ่มต้นที่ 29,900 บาท

เหมาะกับใครบ้าง?

  • คอนเทนท์ครีเอเตอร์สำหรับช่วยสร้างสรรค์งานต่างๆ
  • นักเรียนนักศึกษาที่มองหาแท็บเล็ตคุณภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้
  • เกมเมอร์ที่ตอ้งการเครื่องประสิทธิภาพสูง
  • คนทำงาน/นักธุรกิจ ที่ต้องการใช้ Apple Inyelligence มาช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น