เมื่อ Amazon โดดเข้าร่วมสงครามแทปเล็ต ดูเหมือนการเข้ามาครั้งนี้จะสั่นสะเทือนไปทั้งวงการ แถมมีแววล้มยักษ์ซะด้วย

Apple เป็นบริษัทแรกที่ตระหนักว่าแทปเล็ตไม่จำเป็นต้องทำงานได้ทุกอย่างเทียบเท่าเครื่องคอมพิวเตอร์ สิ่งที่แทปเล็ตจำเป็นต้องมีก็แค่ฟีเจอร์ที่คนใช้บ่อยๆเท่านั้น Amazon ก็เลยเอาไอเดียนี้มาต่อยอด จนเกิดเป็นแทปเล็ตราคาประหยัดอย่าง Kindle Fire ขึ้นมา เห็นเล็กๆขนาดนี้แต่เจ้านี่มีแววที่จะล้มยักษ์หลายๆค่ายในตลาดเชียวล่ะ

iPad 2 ถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่ยอดเยี่ยม แต่หลายๆคนไม่ต้องการจ่ายเงินสูงถึง 15,900 บาทเพื่อเป็นเจ้าของมัน แต่ Kindle Fire สามารถให้ฟีเจอร์ที่หลายๆคนต้องการในราคาที่ถูกว่าเกินครึ่งของค่าตัวไอแพด 2 (ุ199$ หรือ 6,000 บาท) ซึ่งฟีเจอร์ที่คนส่วนใหญ่ต้องการใช้ก็มีเช็คอีเมลล์, เข้าเน็ตเล่นเวป, อาจจะเล่นเกมบ้างเล็กน้อย และการอ่านนิตยสารและอีบุ้คบนนั้น

แม้ว่าไอแพดจะสามารถใช้สร้างหรือเขียนคอนเท้นท์ได้ แต่มันก็ไม่สะดวกเท่าการใช้คอมพิวเตอร์ เพราะหลายคนถนัดใช้คีย์บอร์ดมากกว่าจิ้มจอ แถมยังพิมพ์ได้เร็วกว่าอีกด้วย ยิ่งถ้าเป็นฟีเจอร์การตัดต่อวิดีโอแล้ว ทำบนคอมมันกว่า ใส่ลูกเล่นและรายละเอียดต่างๆได้ครบถ้วนกว่าการทำบนแทปเล็ต ดังนั้นฟีเจอร์ตัดต่อวิดีโอบนไอแพดที่มีเหนือกว่า Kindle Fire อาจจะดูไร้ประโยชน์ไปเลยสำหรับหลายๆคน

ในด้านของการถ่ายรูป การนำแทปเล็ตจอใหญ่ๆมาถ่ายรูปมันเป็นอะไรที่ตลกดี เพราะหลายๆคนนิยมใช้กล้องจากมือถือถ่ายกันซะมากกว่า  ส่วนกล้องบนไอแพด2 ก็ให้คุณภาพของภาพที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก ดังนั้นการที่ Kindle Fire ไม่มีกล้องทั้งด้านหน้า ด้านหลังมาให้จึงอาจจะไม่ผลอะไรต่อการตัดสินใจซื้อ

Kindle Fire จะมาเติมเต็มตลาดในส่วนของคนที่ต้องการใช้ฟีเจอร์พื้นฐาน ในราคาที่สมเหตุสมผล แถมยังเป็น Kindle ที่ขึ้นชื่อในการอ่านอีบุ้คที่มาในเวอร์ชั่นจอสีที่หลายๆคนต่างเฝ้ารอ เมื่อมาผนวกกับ   Amazon App Store ที่มีอีบุ้คนับหมื่นเล่ม แถมยังเพิ่มหนังสือที่ซื้อไปแล้วไปยังไอโฟนผ่าน Kindle app ก็น่าจะทำเงินให้กับ Amazon ได้อยู่ ข้อเสียข้อเดียวที่ทำให้ Kindle Fire ดูด้อยไปเลยคือไม่มีบลูทูธ

แต่ศึกคราวนี้ยังอีกยาวไกล Kindle Fire จะไปได้ไกลสักแค่ไหนต้องมาดูกันยาวๆค่ะ

VIA gizmodo