เตือนภัยมิจฉาชีพ โทรเข้ามาหลอกเอาข้อมูล โดยมีสองเบอร์คือ 063-272-5490 และ 02-059-6285 หลายๆคนโดนกันไปจนหลายๆเพจออกมาเตือนภัย ซึ่งทีมงาน ceemeagaign โดนมากับตัวเช่นกัน มีคนโทรมา บอกว่า คุณมีของยังไม่ได้รับจาก DHL แต่ งง เพราะว่าไม่ได้สั่ง และพยายามจะให้กด 1 แล้วหลังจากนั้นยืนยันตัวตนด้วยเลขบัตรต่างๆนาๆ ลองเช็คกันดีดีนะคะ ดังนั้นเราจะมาบอกวิธีป้องกันง่ายๆ ในการใช้เทคโนโลยีให้ปลอดภัยจากมิจฉาชีพ
1. โหลดแอป Whoscall
อันดับแรก เป็นวิธีที่ง่ายมากและใช้ได้จริงๆ แถมเป็นวิธีที่ใช้กันมานานแล้ว คือ ให้โหลด แอปพลิเคชัน whoscall มาไว้ในมือถือของเรา โดย Whoscall คือแอปพลิเคชันสมาร์ตโฟนสัญชาติไต้หวัน ที่สามารถบอกได้เลยว่าสายที่โทรเข้ามาเป็นเบอร์จากที่ไหน เช่น เบอร์จากธนาคาร หรือเบอร์จากมิจฉาชีพมาแฮคเฟส หรือจะโทรมาหลอกถามข้อมูลส่วนตัวเรา แอปจะบอกได้ตั้งแต่การโทรเข้ามาเลยว่าเป็นใคร โดยทีมงาน ceemeagain ใช้แอปนี้แล้วมีเบอร์แปลกโทรมา แล้ว whoscall เตือนเราเลยว่าเป็นเบอร์แฮกเฟส จึงไม่ได้รับสาย ก็ทำให้เรารอดจากมิจฉาชีพได้ในเบื้องต้น
เมื่อโหลดแล้วอย่าลืม ไปตั้งค่าให้ whoscall active ในใช้งานด้วย

2. 2-Step Verification
หลายๆบริการเริ่มมีให้ทำ 2-step verification บางที่ก็เรียกว่า two-factor authentication หรือการยืนยันตัวตน 2 ขั้นตอน เป็นวิธีง่ายๆที่หลายๆคนแนะนำเพื่อป้องกันการแฮกข้อมูลที่เราเก็บไว้บน cloud ได้ เพราะข้อมูลส่วนตัวเราแทบทั้งหมดถูกเก็บไว้บนโลกอินเทอร์เน็ต อย่างพาสเวิร์ด หรือไฟล์เอกสารต่างๆ โดยผู้ให้บริการข้อมูลบนโลกอินเทอร์เน็ตเริ่มบังคับให้ทำ อย่าง Google, Gmail, YouTube, Apple, Dropbox, Facebook ก็มีให้ล็อกอินแบบ 2 ขั้นตอนแล้ว ดังนั้นใครที่ใช้บริการอะไรก็อย่าลืมตั้งค่าการล็อคอินแบบ 2 ขั้นตอนด้วย
การทำงานของ 2-step Verification
ปกติการเข้าสู่ระบบจะทำได้ง่ายแค่ใช้ Username กับ Password เท่านั้น ซึ่งยังไม่ปลอดภัยมากพอ รวมถึงพาสเวิร์ดที่ง่ายต่อการแฮกเช่น วันเกิด เบอร์โทร หรือ 123456789 บอกเลยว่าไม่พอต่อความปลอดภัย ดังนั้นระบบต้องทำการยืนยันตัวตนอีกครั้งผ่าน OTP ผ่านโทรศัพท์มือถือ (One Time Password) เพื่อป้องกันคนอื่นแอบมาใช้งานแอคเค้าท์เรา
ตัวอย่างการเปิดใช้งาน 2-Step Verification ของ Apple Device
- ไปที่ Settings > [ชื่อตัวเอง] > Password & Security.
- เปิด Two-Factor Authentication.
3. ปิด Auto-Join Wifi
สำหรับในที่สาธารณะจะมี wifi แปลกที่ไม่คุ้นเคยอยู่เยอะมากๆ ซึ่งถ้าเราเปิด auto-join ไว้ มือถือของเราจะพยายามหา wifi ที่สามารถต่อได้ หรือถ้าเคยเชื่อมแล้วมันก็จะเชื่อมอัตโนมัติ ดังนั้นพวกแฮกเกอร์จะมีการปล่อย wifi ออกมาล่อได้ ถ้าเชื่อมต่อได้แล้วก็จะถูกขโมยข้อมูลไปได้แบบที่เราไม่รู้ตัว ทางที่ดีถ้าไปในที่ที่ไม่คุ้นเคย แนะนำให้ปิด auto join wifi ไว้จะดีที่สุด หรือแยกตั้งค่าเฉพาะแต่ละ wifi ก็ได้ และตั้งแบบให้ถามก่อนที่เราใช้ก็ทำได้ อีกทั้งไม่ควรส่งข้อมูลสำคัญผ่าน wifi ด้วย
4. โหลดแอปและโปรแกรมจากสโตร์ทางการเท่านั้น 
เป็นวิธีที่ง่ายและปลอดภัยได้ตั้งแต่เริ่มต้นใช้งาน แนะนำให้ดาวน์โหลดทางร้านทางการเท่านั้น เช่น App Store ของ Apple หรือ Google Play Store ทางฝั่ง Android เป็นต้น หรือถ้าไม่มีความจำเป็น อย่าติดตั้งแอพจากไฟล์ .apk หรือ .ipa ที่ได้มาจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ เพราะสโตร์ทางการมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดอยู่แล้วก่อนที่จะปล่อยให้ผู้ใช้โหลดลงเครื่อง ในการใช้งานควรอัพเดทแอปให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดอย่างสม่ำเสมอ และถ้าแอปถูกปลดจากสโตร์อย่างเป็นทางการแล้ว แนะนำว่าให้ลบจากเครื่องทันที
5. อย่าจดจำรหัสผ่านในเบราว์เซอร์
6. รู้เท่าทันมิจฉาชีพ
เราต้องรู้เท่าทันเทคนิคที่แฮกเกอร์และมิจฉาชีพใช้หลอกเอาข้อมูลส่วนตัวเรา จริงๆมีหลายวิธีที่แฮกเกอร์เลือกใช้มากๆ วิธีนี้ใช้การหลอกโดยจิตวิทยาเป็นหลัก ดังนั้นถ้าเห็นอะไรแบบนี้อย่าคลิกเข้าไปหรือให้ข้อมูลเด็ดขาด
- Baiting (ล่อให้เกิดความอยากรู้อยากเห็น เช่นการส่ง SMS ใช้ของรางวัลเกินจริงมาล่อ)
- Phishing (แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ติดต่อจากองค์กรต่างๆ)
- Mining Social Media (เรียนรู้พฤติกรรมเราจาก Social Media เพื่อนำข้อมูลมาหลอกล่อ)
- Scareware (แจ้งเตือนอันตราย แล้วให้กรอกข้อมูลสำคัญ)
วิธีปฏิบัติเมื่อเจอแบบนี้แนะนำให้เช็กข่าวจากสื่อท่ีเชื่อถือได้ก่อน เช็กบริษัทที่ส่งมา เช็ก URL ว่าน่าเชื่อถือหรือไม่ ถ้าไม่อย่าพยายามตอบกลับโดยเฉพาะการให้ข้อมูลสำคัญ เช่นเลขบัตร ATM บัตรเครดิต / อย่าคลิ๊กลิงก์แปลกๆ หรือตอบกลับ SMS ที่เป็นเบอร์เชื่อถือไม่ได้
สุดท้ายนี้เราต้องรอด ลองไปปรับใช้งานกันดูกับการใช้เทคโนโลยีให้ปลอดภัยจากมิจฉาชีพ 6 วิธีที่เราแนะนำไปนะคะ