Sharp เจ้าแรกที่ทำมือถือติดกล้อง
มือถือรุ่นแรกที่มาพร้อมกับกล้องถ่ายรูปในตัวผลิตโดยซัมซุง เริ่มวางจำหน่ายที่เกาหลีใต้เดือนมิถุนายนปี 2000 ชื่อรุ่นว่า SCH-V200 มันเป็นมือถือแบบฝาพับมาพร้อมหน้าจอ TFT-LCD 1.5 นิ้ว ในส่วนของกล้องสามารถถ่ายภาพที่ความละเอียด 350,000 พิกเซลได้ 20 รูป ในการดึงภาพที่ถ่ายไว้ออกมาต้องต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์อย่างเดียว
แต่ก็มีการถกเถียงกันอยู่ว่ามือถือรุ่นแรกที่มีกล้องในตัวผลิตโดย Sharp จัดจำหน่ายโดยบริษัท J-Phone (ตอนหลังได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น SoftBank ) เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2000 ในชื่อรุ่นว่า J-SH04 กล้องของมือถือรุ่นนี้มีความละเอียด 110,000 พิกเซล ซึ่งข้อแตกต่างจากมือถือของซัมซุงคือ รุ่นนี้สามารถส่งรูปได้โดยไม่ต้องต่อคอม
มือถือติดกล้องบุกอเมริกา
หลังจากที่มือถือติดกล้องกลายเป็นเทรนด์ใหม่ของมือถือในญี่ปุ่น เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2002 มือถือจากญี่ปุ่นก็ได้ข้ามน้ำข้ามทะเลมาบุกตลาดสหรัฐ โดยมี Sanyo SCP-5300 มือถือติดกล้องรุ่นแรกที่วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการโดยเครือข่าย Sprint สนนราคาขายตอนนั้นก็อยู่ที่ $400หรือเทียบเป็นเงินไทยสมัยนั้นก็ประมาณ 16,000 บาท กล้องรุ่นนี้มีความละเอียด 0.3 ล้าน บันทึกที่ 640 x 480 พิกเซล นอกจากนี้มันยังมีแฟลชในตัว, ควบคุม white balance , ตั้งเวลาถ่ายรูป, ซูมแบบดิจิตอล รวมถึงใส่ฟิลเตอร์อย่างซีเปีย, ฟิลเตอร์ขาวดำและเนกาทีฟ.
มือถือติดกล้องก็เริ่มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ภายในสิ้นปี 2003 ก็ขายได้ไปมากกว่า 80 ล้านเครื่องทั่วโลก ทำให้มือถือติดกล้องรุ่นต่อๆมามีคุณภาพมากขึ้นแต่ราคาขายถูกลง
ความละเอียดแตะ 1.3 ล้านพิกเซล
เมื่อกล้องบนมือถือได้กลายเป็นเทรนด์ใหม่ในสหรัฐ ปีต่อมา Sprint ได้เปิดตัว PM8920 ในเดือนกรกฎาคม 2004 นี่ถือเป็นมือถือรุ่นแรกในอเมริกาที่สามารถถ่ายรูปได้ถึง 1.3 ล้านที่ความละเอียด 1280 x 960 พิกเซล นอกจากส่งรูปผ่านเครือข่ายไร้สายแล้ว รุ่นนี้ยังสามารถส่งไปยังเครื่องปริ้นท์เพื่อพิมพ์ออกมาได้ทันที
นอกจากนั้นรุ่นนี้ยังมีปุ่มสำหรับกดชัตเตอร์แยกมาให้ด้วย รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพด้วยการถ่ายรูป 8 ช็อตพร้อมกัน รวมถึงบันทึกเสียงต่างๆเพื่อนำมาใช้เป็นเสียงชัตเตอรืได้ สนนราคาขายของมือถือรุ่นนี้อยู่ที่ $299 (ถ้าหักค่ารีเบตแล้วจะเหลือ $150)
ภายในสิ้นปี 2004 ยอดขายมือถือติดกล้องก็พุ่งสูงขึ้น ทาง Canalys รายงานว่า กล้องที่ขายได้ใน 9 เดือนแรกของปี 2004 จำนวน 2 ใน 3 ต่างก็มีกล้องทั้งนั้น
2 ล้านพิกเซลมากับ Nokia N90
ในปี 2005 ทาง Nokia ได้ออกมือถือ N90 ที่ถือว่ามีความละเอียดสูงสุดในขณะนั้น ไม่เพียงแต่ความละเอียดสูงถึง 2 ล้าน แต่ยังมาพร้อมเลนส์ Carl Zeiss, โฟกัสอัตโนมัติ และแฟลช LED นอกจากนี้ยังหมุนหน้าจอถ่ายแนวนอนได้ให้ความรู้สึกเหมือนใช้กล้องวิดีโอ
คู่แข่งรายใหญ่ของโนเกียก็คือ Sony Ericsson เจ้าของแบรนด์ Cyber-shot ที่ถือว่าแข่งแกร่งในตลาดกล้องดิจิตอล โวนี่ก็ใช้จุดแข็งเรื่องกล้องมาใส่ในมือถือเพื่อแย่งลูกค้าจากโนเกียด้วย Sony Ericsson K800i ที่เปิดตัวในปี 2006 ชูจุดเด่นด้วยความละเอียด 3.2 ล้านมาพร้อมออโต้โฟกัส, ระบบกันสั่นและแฟลชซีนอน ทางโนเกียแก้เกมด้วยการส่ง N73 ที่มีความละเอียดเท่ากันมาต่อกร
ความละเอียดแตะ 5 ล้านพิกเซล
ซัมซุงเป็นเจ้าแรกที่มำความละเอียดกล้องบนมือถือได้แตะระดับ 5 ล้านพิกเซล แต่เครื่องที่ได้รับความนิยมมากที่สุดกลับเป็น N95 ของโนเกียที่เป็นเครื่องแบบสไลด์ กล้อง 5 ล้านพร้อมเลนส์ Carl Zeiss เด่นทั้งการถ่ายรูปและบันทึกวิดีโอที่ 30 เฟรมต่อวินาที ต่อมากล้องมือถือความละเอียด 5 ล้านก็ได้กลายเป็นฟีเจอร์มาตรฐานของกล้องระดับ high-end อย่หลายปี
การมาของไอโฟนในเดือนมิถุนายน ปี 2007 ที่ออกหลัง N95 ไม่กี่เดือน ก็เป็นปัจจัยสำคัยที่ทำให้ตลาดเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม แม้ไอโฟนจะมีกล้องแค่ 2 ล้าน ไม่มีแฟลช ไม่มีออโต้โฟกัสและบันทึกวิดีโอไม่ได้
8 ล้านพิกเซล
ในปี 2008 ซัมซุงได้เปิดตัว Samsung i8510 หรือ INNOV8 ที่เป็นมือถือรุ่นแรกที่มีกล้องละเอียดถึง 8 ล้านพิกเซล แต่ถือเป็นการเดิมเกมที่ผิคพลาดของซัมซุงที่ดันไปทำหน้าตาให้คล้ายกับ N ซีรีย์ของโนเกียที่เริ่มได้รับความนิยมลดลง ด้านโนเกียก็ออก N86 ที่ความละเอียดเท่ากันตามมา ส่วน LG เองก็ออก มือถือจอสัมผัสที่กล้องความละเอียด 8 ล้านในชื่อว่า LG Renoir.
การแข่งขันเรื่องความละเอียดยังไม่จบแค่นั้น Samsung ก็ปล่อย M8910 Pixon12 มือถือพร้อมกล้อง 12 ล้าน ในปี 2009 ส่วนในปี 2010 โนเกียก็มี N8 และ Sony Ericsson S006 ที่ความละเอียดสูงถึง 16 ล้านพิกเซล
การมาของสมาร์ทโฟน
การแข่งขันเรื่องกล้องบนมือถือเริ่มชะลอตัวลง หลังจากที่สมาร์ทโฟนเริ่มเปิดตลาดโดยมีไอโฟนเป็นตัวถางทางว่ามีฟีเจอร์อื่นๆที่สำคัญกว่ากล้อง ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบตัวเครื่องให้บางลง รวมถึงให้ความสำคัยกับคุณภาพของภาพถ่ายมากกว่าตัวเลขความละเอียด
นอกจากนี้กล้องบนสมาร์ทดฟนยังมีการพัฒนาเทคโนโลยใหม่ๆเพื่อรองรับความต้องการของตลาด อย่าง HTC และ LG ต่างก็พัฒนากล้องให้ถ่ายภาพแบบ 3D ในปี 2011 เนื่องจากภาพยนต์แบบสามมิติเริ่มได้รับความนิยม แต่ในที่สุดก็ต้องเก็บกระเป๋ากลับบ้านไปเพราะผู้บริโภคให้การตอบรับได้ไม่ดีเท่าที่คาดไว้ จากกรณีนี้ ผู้ผลิตเลยหันไปพัฒนาซอฟท์แวร์เพื่อใช้ในการถ่ายรูปแทน
การเติบโตของซอฟท์แวร์ถ่ายรูป
เราได้เห็นการพัฒนาซอฟท์แวร์ใหม่ๆเพื่อทำให้ถ่ายรูปได้สนุกขึ้น อย่าง Photo Sphere จากกูเกิ้ล หรือการถ่ายพาโนรามาจากแอปเปิ้ล ทาง BlackBerry ก็มี Time Shift ว่วน HTC ก็มี Zoe นอกจากนี้ยังมีการใส่ฟิลเตอร์และเอฟเฟคจากแอพพลิเคชั่นต่างๆมากมาย คนจึงหันมาใช้สมาร์ทดฟนถ่ายรูปมากขึ้น เพราะทั้งสะดวก รวดเร็วและลูกเล่นต่างๆมี่เพิ่มมากขึ้น การใช้งานทั่วไปไม่ต่างกับกล้องดิจิตอลรุ่นเล็กๆ
อนาคตกล้องบนสมาร์ทโฟน
แนวโน้นมเซนเวอร์กล้องบนมือถือจะเริ่มละเอียดขึ้นและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น แม้ HTC พยายามจะบอกว่าความละเอียด 4 ล้านก็เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปแล้ว แต่กล้องในสมาร์ทโฟนระดับ High-end อย่าง Xperia Z ก็ให้ความละเอียด 13 ล้าน แม้แต่ Galaxy S4 , Galaxy Zoom ก็ยังใส่เซนเซอร์ 16 ล้านมา หรือตัวล่าสุดอย่าง Nokia Lumia 1020 ก็ใส่ความละเอียดสูงถึง 41 ล้านมาให้
ดูเหมือนว่าสมาร์ทโฟน Lumia 1020 ที่เพิ่งออกมาใหม่ ถือเป็นสมาร์ทโฟนที่มีกล้องที่ดีที่สุดในตลาด ณ เวลานี้ นั่นน่าจะทำให้การแข่งขันเรื่องกล้องบนมือถือกลับมาร้อนระอุขึ้นอีกครั้ง
VIA digitaltrends