หลังจากเป็นข่าวลือ และภาพหลุดมาหลายเดือน ล่าสุด Apple ได้เปิดตัว iPad Air 2 และ iPad Mini 3 เมื่อคืนนี้แล้ว โดยทางบริษัทยังได้ประกาศศักดาว่า iPad Air 2 เป็นแท็บเล็ตที่บางที่สุดในโลกคือ แค่ 6.1 มม. เท่านั้น
ซึ่งบางแค่ไหนหรือคะ? ก็บางกว่า iPhone 6 (6.9 มม.) และ iPhone 6 Plus (7.1 มม.) ที่เพิ่งเปิดตัวกันไปเมื่อเดือนที่แล้ว ส่วนคุณสมบัติคร่าวๆ ก็อย่างที่ทราบกันค่ะว่า ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่มากนัก iPad Air 2 นอกจากความบางแล้ว ก็จะมีการอัพเกรดให้ใช้หน่วยประมวลผลเป็น A8X ที่ใช้สถาปัตยกรรม 64 บิท และชิปตรวจจับความเคลื่อนไหว M8 เหมือนกับ iPhone 6 นอกจากนี้ยังมี RAM เพิ่มขึ้นเป็น 2GB ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของ iPad Air 2 น่าจะเร็วขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด กล้องหลังเพิ่มเป็น 8MP ละเอียดขึ้นกว่าเดิม คาดว่าน่าจะมีลูกเล่นการถ่ายไม่แพ้ iPhone 6 ด้วยค่ะ อ้อ…iPad Air 2 ยังมาพร้อมกับ Touch ID และใช้ Apple Pay ได้ด้วยค่ะ ส่วนหน้าจอรุ่นใหม่จะมีการเคลือบสารกันสะท้อน ซึ่งแหล่งข่าวบอกว่า มันช่วยลดแสงสะท้อนได้ดีกว่าเดิม หากเทียบกับ iPad Air รุ่นแรก ก็ถือว่า น่าสนใจไม่น้อย
ทางด้าน iPad mini 3 ส่วนตัวต้องขอบอกเลยว่า ผิดหวังพอสมควร เพราะแทบจะไม่ได้มีการปรับสเป็กสักเท่าไร นอกจากเพิ่ม Touch ID ที่ใช้กับ Apple Pay ได้เช่นเดียวกับ iPad Air 2 ซึ่งเดาว่า ผู้ใช้ iPad mini 2 อาจจะไม่อัพเกรด แต่ผู้ใช้มือใหม่ที่ต้องการ iPad mini อาจจะเลือกรุ่นนี้ไปใช้ก็ได้ อ้อ…มีการเพิ่มความจุเป็น 16GB, 64GB และ 128GB จากเดิมมีให้เลือกแค่ 16GB และ 32GB เท่านั้น (iPad Air 2 ก็มีให้เลือกความจุตามนี้เหมือนกัน) คาดว่า Apple คงมองเรื่องของการบริโภคคอนเท็นต์ที่เป็นพวกวิดีโอเพิ่มขึ้น ซึ่งการเปิดทางเลือกแบบนี้ ประกอบกับกลไกราคา ตัวเลือกความจุ 64GB กับ 128GB น่าจะได้รับความสนใจมากกว่าอย่างแน่นอน
มาดูในเรื่องโอกาสทางการตลาดดูบ้างนะคะ ข้อมูลจาก BI Intelligence ได้เปิดเผยข้อมูลวิจัยว่า ผู้ใช้ทั่วโลกวันนี้ 48% ยังอยู่กับ iPad รุ่นเก่าที่มีอายุการใช้งานอย่างน้อย 2 ปี (รวมถึง iPad, iPad 2 และ iPad 3) ในขณะเดียวกัน แม้แบรนด์ iPad จะมีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดในโลก แต่ช่วงปีที่ผ่านมา ส่วนแบ่งตลาดลดลงเหลือ 28% เหตุผลเนื่องจากตลาดแท็บเล็ตพันธุ์ผสมที่มีความเป็นทั้งโน้ตบุ๊ค และแท็บเล็ตในเครื่องเดียวกันได้รับความนิยมมากขึ้น อีกประเด็นหนึ่งที่มองข้ามไปไม่ได้ก็คือ พฤติกรรมการอัพเกรดของผู้ใช้แท็บเล็ตจะคล้ายๆ กับโน้ตบุ๊ค นั่นคือ เลือกที่จะเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่ภายใน 3 – 4 ปี (สมาร์ทโฟน จะอัพเกรดกันเฉลี่ยภายใน 1 – 2 ปี) นั่นหมายความว่า การเปิดตัวรุ่นใหม่ของ iPad อาจจะไม่ได้หมายถึง การเพิ่มส่วนแบ่งตลาด แต่เป็นการรั้งไม่ให้ส่วนแบ่งตลาดลดลง อย่างไรก็ตาม การคาดหมายนี้คงต้องดูกระแสของสื่อที่พูดถึงด้วยว่า iPad รุ่นใหม่ให้ประสบการณ์ในการใช้งานที่น่าประทับใจกว่าเดิมแค่ไหนด้วยค่ะ นอกจากประเด็นต่างๆ เหล่านี้ที่อาจะส่งผลกระทบต่ออนาคตทางการตลาดของ iPad แล้ว ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่มองว่า iPhone 6 Plus ทีมีหน้าจอใหญ่ถึง 5.5 นิ้ว อาจจะไปกินตลาด (cannibalize) iPad mini 3 ที่ใหญ่กว่าไม่มากนักได้อีกต่างหาก แล้วเพื่อนๆ ล่ะคะ คิดเห็นกันอย่างไร?
via Apple.com