มาแล้วค่ะสรุปไฮไลต์เด็ดๆของ Huawei P10 จากเมืองบาร์เซโลน่า ประเทศสเปน ซึ่งเค้าเปิดตัวก่อนงาน MWC 2017 จะเริ่มวันพรุ่งนี้ ใครอยากรู้รุ่นนี้เจ๋งยังไงต้องอ่าน

Huawei P10

 

Huawei P10

P10 และ P10 Plus ออกแบบด้วยการหลอมรวมเทคโนโลยีและศิลปะเข้าด้วยกัน จึงทำให้เป็นสมาร์ทโฟนที่มีประสิทธิภาพสูงแต่ก็ไม่ทิ้งเรื่องความสวยงาม ยังเน้นความเป็นแฟชั่น ถิอแล้วอินเทรนด์

ตัวเครื่องหนา 6.98 มิลลิเมตร กล้องหลังไม่นูนขึ้นมาให้หมดความสวยงาม การขึ้นรูปและตัดตัวเครื่องใช้เทคนิค Hyper Diamond Cut Finish ต้องผ่านกระบวนการมากกว่า 10,000 ขั้นตอน จนได้ตัวเครื่องโลหะที่มีผิวสัมผัสจับแล้วไม่ลื่นและสะท้อนแสงได้วับวาว ไม่ทิ้งคราบรอยนิ้วมือ แถมป้องกันรอยขีดข่วนได้ด้วย พร้อมเคลือบด้วยนาโนเทคโนโลยี คุณสมบัติกันน้ำแบบ Splashproof คือแค่กันน้ำกระเด็นใส่ไม่ใช่แบบตกลงไปทั้งเครื่องนะ กันฝุ่น

ส่วนปุ่มเปิด/ปิดมีการเพิ่มผิวสัมผัสให้แตกต่างจากปุ่มเพิ่ม/ลดเสียง เวลากดจะได้รู้ว่ากดปุ่มอะไรอยู่แม้ไม่ได้มอง

P10

สีเครื่องที่มีให้เลือกทั้งหมด 8 สีซึ่งเค้าให้เหตุผลว่าสีเป็นสิ่งแรกที่คุณจำได้และเป็นสิ่งสุดท้ายที่คุณจะลืม สีที่มีก็คือ สีทอง Dazzing Gold, สีทอง Prestige gold, สีชมพู Rose Gold , สีดำ Graphite Black, สี Ceramic White, สี Mystic Silver และยังมีอีกสองสีใหม่ คือ Pantone Greenery (ซึ่งแพนโทนจัดให้เป็นสีเด่นของปีนี้) และ Dazzling Blue โดยได้ Pantone Color Institute มาช่วยออกแบบสีเครื่อง ที่คิดเผื่อมาก็คือธีมของ EMUI ในเครื่องก็จะตั้งมาให้แมตช์กับสีเครื่อง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเลือสีเขียว ธีมของ UI ก็จะเป็นสีเขียวเหมือนกัน

กล้อง

มาดูในส่วนของกล้องหลังที่หลายคนอยากรู้กันบ้าง ทางหัวเว่ยอัพเกรดกล้องหลังของ P10 Plus ให้เป็น Dual Camera 2.0 Pro Edition ตัวเลนส์ที่ใช้คือ Summilux H ของ Leica แบบเดียวกับเลนส์กล้อง LUMIX G รูรับแสงกว้าง f/1.8 (ส่วน P10 ใช้เลนส์ตัวเดียวกับ Mate 9 รูรับแสงจะแคบกว่า อยู่ที่ f2.2)  เพิ่มความละเอียดของแต่ละเลนส์ให้มากขึ้น เลนส์โมโนโครมเพิ่มเป็น 20 ล้านพิกเซล ส่วนเลนส์ RGB จะใช้ Dual Senser ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมระบบกันสั่น OIS ของใหม่ที่เพิ่มมาอีกก็คือ Huawei hybrid zoom ช่วยให้ซูมภาพได้มากขึ้น 2 เท่า และระบบออโต้โฟกัส 4-in-1 มีทั้ง phase Detection และเลเซอร์

ส่วนใครที่ชอบถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอก็มี Portrait mode ซึ่งหัวเว่ยตั้งชื่อโหมดนี้ว่า Leica Style Portraiture ซึ่งเค้าบอกว่าโหมดนี้จะช่วยถ่ายภาพคุณเหมือนขึ้นปกแมกกาซีนยังไงอย่างงั้น ด้วยสโลแกน ‘Make Every Shot a Cover Shot’ โหมดนี้จะสามารถปรับค่าต่างๆให้ถ่ายรูป Portrait ให้ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการปรับโบเก้ด้านหลังหรือปรับเอฟเฟคต่าง เพื่อให้ได้ภาพที่เป็นธรรมชาติที่สุด อีกหนึ่งโหมดที่เพิ่มเข้ามาคือโหมดมาโครที่หลายคนน่าจะชอบ ซึ่งจะใช้เลเซอร์ช่วยในการโฟกัส รวมถึงโหมด Fast focus สำหรับถ่ายวัตถุที่เคลื่อนไหวไวๆ

คุณสมบัติของกล้องโดยรวมจะถ่ายกลางวันให้ dynamic range ที่กว้างขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพให้ถ่ายในสภาวะแสงน้อยได้ดีกว่า P9 ส่วนการถ่ายวิดีโอรองรับ 4K H.265 บีบอัดไฟล์ได้เล็กลงถึง 50% ถ่ายได้บ่อยขึ้นโดยไม่ต้องห่วงเรื่องเมมเต็ม

ฟากกล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f1.9 ใช้เลนส์ของ Leica เช่นกัน เปลี่ยมาใช้เซนเซอร์ตัวใหม่เพิ่มความสว่างเป็นสองเท่า มาพร้อมเทคโนโลยี 3D facial detection มาช่วยตรวจจับใบหน้าและ Dynamic illumination ช่วยเพิ่มความสว่าง พ่วงด้วยโหมดใหม่ Adaptive selfie ช่วยจัดเฟรมถ่ายเซลฟี่ให้ ไม่ว่าจะถ่ายเดี่ยวหรือถ่ายเป็นกลุ่ม ช่วยให้ไม่ตกขอบ

หน้าจอ

P10 มีขนาดหน้าจอ 5.1 นิ้วความละเอียด Full HD 1080p ส่วน P10 Plus มีขนาดหน้าจอ 5.5 นิ้วความละเอียด 2K มาพร้อมความสว่าง 500 nits และอัตราส่วนคอนทราส 1500:1 ปิดทับด้วกระจกโค้ง 2.5 D ของ Gorilla Glass 5 เพิ่มความแข็งแกร่งขึ้น 80% จากการ Drop Test ขอบเครื่องเรียกว่าน้อยมาก ถ้าเทียบกับ iPhone ก็ต่างกันถึง 56% เลยทีเดียว   ส่วนเรื่องการใช้งานต้องบอกว่ารองรับการสัมผัสได้เร็วเท่าๆกับ iPhone 7 ทีนี้จะบ่นว่าแอนดรอยด์ใช้แล้วหน่วง ไม่ลื่น ไม่ได้แล้วนะ

มาดูปุ่มโฮม ปีนี้เน้นความเป็น Smart Touch ฝังเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาให้ในตัว แถมยังใช้เหมือน Touch Pad ควบคุมด้วยการปัดนิ้ว กดหนัก กดเบา สั่งงานหน้าจอ  ซีพียูเป็น Kirin 960 ตัวเดียวกับที่ใช้ใน Mate 9

ส่วนแบตเตอรี่มีความจุ 3,200 mAh และ 3,750 mAh สำหรับรุ่นพลัส ถ้าใช้งานปกติไม่ได้เล่นเกมหรือเข้าเน็ตบ่อยๆจะใช้งานได้เฉลี่ย 1.8 วัน เสริมด้วยระบบชาร์จไว ชาร์จ 30 นาทีได้แบตใช้งานได้หนึ่งวัน ส่วนระบบปฏิบัติการเป็น Android 7.0 Nougat

การเชื่อมต่อ

Huawei P10 Plus ชูจุดเด่นการเป็นสมาร์ทโฟนเครื่องแรกของโลกที่รองรับ 4.5G LTE ใช้เสาอากาศ 4 ตัว สามารถรับส่งข้อมูลได้ที่ความเร็วสูงสุด 600 Mbps บน CAT12 ถาดใส่ซิมยังคงเป็น hybrid SIM สำหรับใส่ซิมการ์ดและ MicroSD ได้สูงสุด 256 GB

p10 case

สนนราคาขายในยุโรป P10 ความจุ 64 GB พร้อม RAM 4GB อยู่ที่ 699 ยูโร (28,000 บาท)ส่วน P10 Plus ความจุ 128 GB พร้อม RAM 6GB อยู่ที่ 799 ยูโร (32,00 บาท)  นอกจากนั้นยังมีรุ่น Limited Edition สำหรับสาวๆ ตัวเครื่องมาพร้อมกระเป๋าใส่น่าใช้เชียว นอกจากนั้นยังมีสารพัดเคสเน้นความเป็นแฟชั่นให้เลือกใส่ด้วย

ทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลเบื้องต้นที่สรุปมาให้อ่านกันก่อน เดี๋ยวจะมาเพิ่มเติมหรือแก้ไขตรงที่เข้าใจคลาดเคลื่อนนะ