iOS มาพร้อมเครื่องมือหลายอย่างช่วยโชว์ว่าแบตเตอรี่คุณเหลืออยู่แค่ไหน รวมถึงแอปไหนเปลืองแบตที่สุด แต่สิ่งที่ไม่ได้บอกเราเลยก็คือสุขภาพแบตเตอรี่ iPhone ของเราดีแค่ไหน
Battery Health vs. Battery Life
สุขภาพแบตเตอรี่ (Battery health) และ ปริมาณแบตเตอรี่ (battery life) เป็นสองคำศัพท์ที่คนละความหมายเลยค่ะ ปริมาณแบตเตอรี่คือระยะเวลาใช้งานต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ส่วนสุขภาพแบตเตอรี่นั้นจะบอกว่าปริมาณแบตเตอรี่สูงสุดลดลงเหลือเท่าไหร่ เพราะธรรมชาติของแบตลิเธียมนั้นจะหดสั้นลงทุกปี ยิ่งถ้าเป็นเครื่องเก่าที่ใช้งานเป็นปีแบตชาร์จเต็มแล้วอาจจะใช้ได้ไม่กี่ชั่วโมงแล้วต้องชาร์จใหม่ ซึ่งนั้นเป็นสัญญาณบอกว่าคุณควรเปลี่ยนแบตใหม่ได้แล้ว
ส่วนใหญ่เราจะใช้สองมาตรวัดในการวัดสุขภาพแบตเตอรี่ คือ ปริมาณความจุสูงสุดและ charge cycles หรือจำนวนรอบการชาร์จที่เราชาร์จไปแล้ว โดยปกติแล้วถ้าเราชาร์จไป 500 รอบความจุของแบตเตอรี่จะลดลงเหลือแค่ 80% เท่านั้น ซึ่งข้อมูลทั้งสองอย่างนี้ไม่สามารถดูได้ด้วยตัวเองในหน้าการตั้งค่าของไอโฟน แต่เราก็มีหลานกลายวิธีในการเช็ค
ถาม Apple Support
เมื่อก่อนถ้าเราอยากรู้ว่าแบตเตอรี่ของไอโฟนชาร์จไปกี่รอบแล้วก็ต้องนำไปที่ร้านเพื่อเข้าเครื่องทดสอบ แต่ตอนนี้เราสามารถทำผ่านวิธี remote ได้ด้วยการเข้าไปที่เว็บ support ของแอปเปิ้ล จากนั้นก็แชทคุยกับพนักผ่านการโทรหรือแชทคุย ส่วนอีกวิธีนึงก็คือถามผ่านทางทวิตเตอร์ ด้วยการส่ง DM ข้อมูล serial number และเวอร์ชั่น iOS ไปทางทวิตเตอร์ จากนั้นเราถึงจะเข้าการเช็คข้อมูลผ่านหน้า settings เมื่อทดสอบเสร็จเราจะเห็นข้อมูลที่ต้องการ ข้อเสียของวิธีก็คือ ทางแอปเปิ้ลจะไม่ได้บอกเป็นตัวเลขที่ชัดเจน บอกแต่สถานะว่า สมบูรณ์ สุขภาพดี เป็นต้น
ใช้แอปตรวจแบตเตอรี่
อีกวิธีที่ใช้ตรวจสอบแบตเตอรี่คือโหลดแอปมาช่วยเช็คสถานะการทำงาน หนึ่งในแอปฟรีที่แนะนำก็คือ Battery Life Doctor แต่ในแอปจะมีโฆษณาให้ดูนะแลกกับการใช้งานฟรี ในแอปนี้จะมีข้อมูลเกี่ยวกับแบตเตอรี่มทั้งหมด แต่สิ่งเราอยากรู้นั้นจะอยู่ในส่วนของ “Battery Life” จากนั้นให้กดดูรายละเอียด
ข้อมูลจะแสดงออกมาเป็นกราฟฟิคเข้าใจง่าย โดยบอกสถานะแบตเตอรี่ว่า “Perfect”, “Good”, “Bad” เป็นต้น นอกจากนั้นเราจะเห็น “Wear Level” ตามด้วยเปอร์เซนต์ซึ่งมันจะบอกว่าประสิทธิภาพแบตเตอรี่ลดลงไปเท่าไหร่ จากภาพตัวเลข 13% หมายถึง ความจุของแบตจะเหลือแค่ 87% จากความจุที่ออกมาจากโรงงาน ยกตัวอย่างเช่นถ้าแบตความจุ 1000 mAh ก็จะชาร์จได้สูงสุด 830 mAh เท่านั้น ส่วนด้านล่างจะเป็นข้อมูลตัวเลขจะเป็นข้อมูลปลีกย่อยอื่นๆ
เช็คแบตเตอรี่ด้วยการเสียบกับคอมพิวเตอร์
ถ้าหากคุณไม่อยากโหลดแอป อีกวิธีนึงก็คือคุณสามารถใช้โปรแกรมบนคอมพิวเตอร์ตรวจสอบก็ได้ ถ้าใครใช้ Mac มี CoconutBattery ซึ่งเอาไว้ใช้ตรวจสอบแบตเตอรี่ของ Mac แต่ก็ใช้กับ iPhone และ iPad ได้เหมือนกัน วิธีใช้งานไม่ยากแค่เสียบสายต่อไอโฟนเข้ากับ Mac แล้วเปิดโปรแกรมขึ้นมา กดที่ “iOS Device” ที่อยู่ด้านบน จากนั้นเราจะเห็นข้อมูลการชาร์จ รวมถึง “Design Capacity” ที่บอกสุขภาพโดยรวมของแบตเตอรี่ ซึ่งตัวเลจะไม่เท่ากับการทดสอบด้วยแอปแต่ก็ถือว่าใกล้เคียงกัน
สำหรับผู้ใช้ Windows ก็มีโปรแกรม iBackupBot แต่จะต้องจ่ายเงินซื้อราคา 35 ดอลล่าร์ ใครไม่ยากเสียเงินก็มีเวอร์ชั่นทดลองใช้ฟรี 7 วัน การใช้งานก็จะคล้ายกับโปรแกรมบน Mac เลยค่ะ
VIA How to geek