หลังจากที่เปิดตัว iPhone X ในรุ่นฉลองครบรอบ 10 ปีแอปเปิ้ลได้ไม่นาน ข้อมูลจากนักวิเคราะห์ก็ทำสาวกแอปเปิ้ลฮือฮาระลอกสองในช่วงกลางเดือนมกราคมนี้

เพราะมีข่าวลือว่า “แอปเปิ้ลจะลดกำลังการผลิตไอโฟนรุ่นเรือธงลง” เนื่องจากยอดขายไม่เข้าเป้าตามที่คาด ถึงกับขนาดที่ว่าแผนการผลิตจะลดลงถึง 20 ล้านเครื่อง จากเดิมที่หวังจะผลิตประมาณ 40 ล้านเครื่อง ดูทีท่าแล้วคงน่าจะเป็นจริงด้วย

ดูคลับคล้ายคลับคลาว่าเหตุการณ์ยอดขาย iPhone X ต่ำกว่าการคาดการณ์จนต้องส่อแววว่าจะยุติกำลังผลิตลงในไม่ช้าซึ่ง Apple กำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ เหมือนจะ “ซ้ำรอย” เหตุการณ์ช่วงเดือนมกราคม ปี 2014 หรือเมื่อ 4ปีที่แล้ว ตอนที่ iPhone 5C รุ่นฝาหลังเป็นพลาสติกสีสันสดใส ทำยอดขายได้ไม่เหมือนกับที่คิดไว้ก่อนหน้า

จนแอปเปิ้ลต้องเลือกยุติการผลิตในเวลาต่อมา และในเวลานั้นเองแอปเปิ้ลยังบอกด้วยว่า การเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ในอนาคตจะไม่มีฝาหลังที่ผลิตด้วยวัสดุพลาสติก…อีกต่อไป ท่ามกลาง เหล่าสาวกแอปเปิ้ลที่หลายรายบอกว่า iPhone5c ตนเองเลยกลายเป็น”ของหายาก”ในยุคนี้ซะแล้ว…หรือ แอปเปิ้ลอยากเอาใจ…ให้ได้ “ทุกตลาด”ดูมั่ง?

ในความเหมือนที่ว่าจะซ้ำรอยกันจริงหรือไม่นั้น ยังมีความต่างที่น่าสนใจในเรื่องของ “ราคา” เพราะราคาของ iPhone X กับ iPhone 5C นี่แทบเรียกได้ว่า…ฟ้ากับเหวเลยทีเดียว

สำหรับฝั่ง iPhone X นั้นเปิดตัวด้วยราคาตั้งต้น 999 ดอลลาร์สหรัฐฯ (รุ่น 64 GB) ถือว่าสูงอย่างมากเมื่อเทียบกับราคาเริ่มต้น 699 ดอลลาร์สหรัฐฯ (รุ่น 64 GB) สำหรับ iPhone 8 และ 799 ดอลลาร์สหรัฐฯ (รุ่น 64 GB) สำหรับ iPhone 8 Plus ที่เปิดตัวพร้อมกันในงาน เรียกได้ว่า ถ้าจะสอย iPhone X กันสักเครื่องนี่ต้องคิดหนักไม่น้อย

สอยไม่ไหว…ถอยไปสอย รุ่นก่อนหน้าดีกว่า!!!

นักวิเคราะห์หลายสำนักก็ชี้ให้เห็นในจุดนี้ว่า ราคาที่สูงเสียดฟ้าของรุ่นเรือธงนี้จะทำให้ลูกค้ายอมซื้อรุ่นที่เก่าและถูกกว่าอย่าง iPhone 7 และ iPhone 7 Plus แทนที่จะเลือกซื้อ iPhone X

ขณะที่ฝั่งของ iPhone 5C ในเวลานั้นเปิดตัวด้วยราคาเริ่ม 99 ดอลลาร์สหรัฐฯ (รุ่น 16 GB) เทียบกับ iPhone 5S รุ่นเรือธง ณ เวลานั้นที่เปิดตัวราคา 199 ดอลลาร์สหรัฐฯ (รุ่น 16 GB) จะพบว่าราคาไม่ได้กระโดดจากกันมาก เมื่อเทียบถึงสเปคและวัสดุที่ใช้ หากย้อนไปเมื่อตอนที่ iPhone 5C เปิดตัวใหม่ๆ นั้น นักวิเคราะห์ต่างเห็นพ้องไปในทิศทางเดียวกันว่า “รุ่นนี้ไปได้ไกลแน่ๆ” ทว่าเมื่อถึงเวลาจริง คนกลับเลือกที่จะซื้อรุ่น 5S ซึ่งแพงกว่าไม่มาก ทั้งยังได้ตัวบอดี้ซึ่งเป็นอลูมิเนียม ชิป A7 และเทคโนโลยี Touch ID ซึ่งไม่มีในรุ่น 5C … บทเรียนนี้ ทำให้แอปเปิ้ลรู้ว่า
“ราคาถูกไม่ใด้แปลว่า ตอบโจทย์ความคุ้มค่า เท่าของที่ ถูกใจ”

งานนี้กลับกลายเป็นของ “แพงไปก็ขายไม่ดี ถูกไปก็ขายไม่ได้” เพราะรุ่นเรือธงอย่าง iPhone X ที่ดูเหมือนจะมียอดซื้อที่พุ่งทะยานเพราะความล้ำของเทคโนโลยี ก็ดันเรียกร้องราคาแพงเกินไปจนคนซื้อเซย์โนตามๆ กัน

ส่วนรุ่นประหยัดอย่าง iPhone 5C รุ่นพี่ที่ถูกกวาดเข้ากรุไปแล้วก็ไม่โดนใจผู้ซื้อ เพราะฟีเจอร์ล้ำๆ ถูกตัดทอนไปตามราคาที่ถูกลง ทั้งวัสดุพลาสติกยังไม่ถูกใจสาวกแอปเปิ้ลอีกต่างหาก

ข้อมูลจากบริษัทวิจัย Consumer Intelligence ได้เผยผลการศึกษายอดขาย iPhone 5C และ iPhone 5S พบว่า iPhone 5C ทำให้ยอดขาย iPhone 5S เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากการเปิดตัวรุ่นสเปกรอง 5C เป็นแผนช่วยผลักดันลูกค้าไปซื้อรุ่นสูงสุดอย่าง iPhone 5S ได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ไม่รู้ว่าเป็นแผนการตลาดของแอปเปิ้ลหรือไม่ ที่ทดลองส่งไอโฟนรุ่นรอง (iPhone 8, 8 Plus) กับรุ่นเรือธง (iPhone X) มาพร้อมกัน แต่ฉีกราคากันคนละขั้ว เพื่อให้สาวกยอมควักเงินจ่ายซื้อรุ่นท็อปสำหรับสุดยอดเทคโนโลยีของแอปเปิ้ล แทนที่จะกั๊กๆ ซื้อเพียงแค่รุ่นรอง เช่นเดียวกับกลยุทธ์เมื่อครั้ง iPhone 5C และ iPhone 5S แต่ถ้าเป็นแผนการตลาดจริงๆ ล่ะก็…

อาจเป็นการตลาดที่ได้การบ้านกลับไป ทบทวนเยอะทีเดียวว่า ทางสายกลางของราคา และ ความคุ้มค่า อยู่ตรงไหน

เรียบเรียงเนื้อหาจาก the wall street journal, dailygizmo.tv, macthai