ฝุ่น PM2.5 เป็นปัญหาที่เราทุกคนต้องเรียนรู้และหาวิธีป้องกันเพื่อไม่ให้ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ยิ่งสังคมเมืองยิ่งเป็นจุดที่น่าเป็นห่วง เพราะปัญหาดังกล่าวทำให้มีผลกระทบต่อร่างกายโดยเฉพาะระบบทางเดินหายใจ นับว่าเป็นปัญหาที่ทุกคนควรตระหนักและต้องดูแลสุขภาพ แต่การเช็คค่าฝุ่นในพื้นที่ ที่เราอยู่เช่นอาคาร โรงเรียน ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแอปพลิเคชันส่วนใหญ่มักจะให้ข้อมูลในพื้นที่แบบวงกว้าง ดังนั้นจึงเป็นที่มาที่เด็กนักเรียนและคุณครูโรงเรียนกรพิทักษ์ศึกษา ได้ร่วมกันจัดทำโครงงานเครื่องวัดมลภาวะทางอากาศ PM 2.5 (Coding Project ) เพื่อวัดปริมาณ PM 2.5 และค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) ภายในห้องเรียนและบริเวณโรงเรียน
เด็กมัธยมโรงเรียนไทย เขียน Coding เช็คฝุ่น
เป็นที่น่าประทับใจอย่างมาก เมื่อทางโรงเรียนกรพิทักษ์ศึกษา โดยคุณครูและนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 และ 5 ของโรงเรียนได้ร่วมกันจัดทำโครงงานเครื่องวัดมลภาวะทางอากาศ PM 2.5 ซึ่งเป็นการเขียนโปรมแกรมจากการเรียน Coding เพื่อวัดค่า PM 2.5 ภายในห้องเรียนและบริเวณโรงเรียน เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์และประเมินผล
เนื่องจากสภาพอากาศในช่วงนี้มีค่าฝุ่นละออง pm 2.5 สูงขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ทำให้มีผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ…
โพสต์โดย โรงเรียนกรพิทักษ์ศึกษา เมื่อ วันพุธที่ 22 มกราคม 2020
ดร. นิสากร ชัชวาลพาณิชย์ ผู้อำนวยการโรงเรียนกรพิทักษ์ศึกษา บอกกับเราว่า ที่โรงเรียนมีการเรียนการสอนที่ใช้เทคโนโลยีเยอะ และ Coding ก็เป็นส่วนหนึ่งของวิชา วิทยาการคำนวณ ประกอบกับมองเห็นศักยภาพของนักเรียนในการใช้เทคโนโลยี จึงเป็นที่มาว่าอยากให้เด็กนักเรียนลองนำเทคโนโลยีต่างๆ มาครีเอท สร้างสรรค์ด้วยตัวเอง อย่างเรื่องการวางแผน และเขียน Coding เบื้องต้น
โดย Coding Project เช็คค่าฝุ่น PM2.5 ภายในโรงเรียนนี้ เป็นแนวความคิดที่ ผู้อำนวยการโรงเรียนเล็งเห็นว่า เป็นเรื่องใหม่และไม่มีใครรู้ว่ามันจะต้องมีวิธีในตรวจวัดอย่างไร ด้วยความห่วงใยสุขภาพของนักเรียนและมองเห็นศักยภาพของนักเรียนในการใช้เทคโนโลยี จึงมีแนวคิดให้นักเรียนคิดค้นและร่วมทำงานอย่างจริงจังกับอาจารย์ผู้สอนในโรงเรียน อีกทั้งเชิญวิทยากรมาให้ความรู้โดยเฉพาะเรื่องการเขียนโปรแกรมด้วยภาษาซี โดยทางโรงเรียนจัดสรรอุปกรณ์ต่างๆ ไว้ให้ เช่น ตัวเซนเซอร์อุณภูมิ เซนเซอร์ความชื้น และอุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นนวัตกรรมต่างๆ
ลองผิดลองถูกเพื่อหาผลลัพธ์ที่ดี
ผู้อำนวยการโรงเรียนกรพิทักษ์ศึกษา บอกกับเราว่า โครงงานนี้ได้เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนพ.ย. ถึง ต้นเดือนธ.ค. ปี 2562 ที่ผ่านมา โดยเด็กนักเรียนได้เริ่ม ศึกษา เรียนรู้คิดค้น สร้างโปรแกรม ลองผิดลองถูกหาข้อผิดพลาดนำไปแก้ไข เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง พร้อมลงมือปฏิบัติจริงผ่านการวัดผลในโรงเรียนเพื่อหาค่าที่เป็นมาตรฐานสากลในการวัด PM 2.5
ลงพื้นที่รอบโรงเรียนวัดผลจริง
อ้างอิงจากโพสต์ใน Facebook FanPage โรงเรียนกรพิทักษ์ศึกษา พบว่า ได้มีการโพสต์ข้อมูลเกี่ยวกับการวัดค่า PM และ AQI(ดัชนีคุณภาพอากาศ) ตามจุดต่างๆ ในโรงเรียน เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2563 ที่ผ่านมา พบว่า ค่าตามจุดต่างๆ ภายในโรงเรียนเป็นดังนี้
- ห้องเรียน มัธยม 1 ชั้น 3 ค่า PM = 34.75 ค่า AQI = 44.5
- ทางเดิน มัธยม 2 ชั้น 6 ค่า PM = 32 ค่า AQI = 38
- อาคารอนุบาลชั้น 1 โถงกลาง ค่า PM = 34 ค่า AQI = 45
- ห้องเรียนอาคารสวนน้ำ ชั้น 2 ค่า PM = 17.25 ค่า AQI = 17.25
- ห้องเรียน อาคารอำนวยการ ชั้น 3 ค่า PM = 28.2 ค่า AQI = 29.6
- ห้องเรียนคอมพิวเตอร์ อาคารอำนวยการ ชั้น 4 ค่า PM = 25.2 ค่า AQI = 27
ทดสอบหาค่า..ก่อน-หลัง ฉีดน้ำละอองฝอยในโรงเรียน
การฉีดพ่นน้ำละอองฝอยในโรงเรียนเป็นแนวทางที่ทำขึ้นเพื่อลดฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 และฝุ่นควันที่เกิดจากท่อไอเสียของรถยนต์ที่เข้ามาในโรงเรียน อย่างเช่น รถยนต์ของผู้ปกครอง และรถโรงเรียน เป็นต้น
ดังนั้นจึงได้มีการตรวจวัดค่า PM และ AQI ในบริเวณสนามกีฬากลางแจ้ง ทั้งก่อนและหลังเปิดระบบละอองน้ำฝอยภายในโรงเรียน พบว่า ก่อนเปิดระบบละอองน้ำฝอย พบว่า ค่า PM = 62 ค่า AQI = 129 หลังเปิดระบบละอองน้ำฝอย พบว่า ค่า PM = 42 ค่า AQI = 63 เป็นตัวชี้วัดว่าการเปิดน้ำละอองฝอยภายในโรงเรียนนั้นช่วยได้เยอะมากจากค่า PM และ AQI ที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
โรงเรียนกรพิทักษ์ศึกษา ตระหนักถึงความเสี่ยงจากมลพิษของฝุ่นละออง(PM 2.5)ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพนักเรียนในขณะอยู่โรงเรียน จึงได้ติดตั้ง “ระบบการพ่นละอองน้ำฝอยลดมลพิษฝุ่น PM 2.5” ซึ่งเป็นละอองน้ำที่มีขนาดเล็กและฝอยมาก เพื่อไปจับฝุ่นละอองในอากาศ ทำให้ช่วยลดมลพิษจากฝุ่นละออง อีกทั้งยังช่วยลดควันพิษจากท่อไอเสียรถยนต์ ที่เข้าสู่โรงเรียน
โพสต์โดย โรงเรียนกรพิทักษ์ศึกษา เมื่อ วันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2020
สรุป
การเรียน Coding ถือเป็นวิชาที่ตอนนี้ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐในบ้านเราเป็นอย่างมาก และถือเป็นหนึ่งศาสตร์ของการเรียนรู้ที่จะทำให้เด็กนักเรียนรุ่นใหม่นำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างเท่าทันในวันที่เทคโนโลยีนี้อยู่รอบตัว และการเรียนในห้องเรียนที่ไม่ใช่เพียงแค่ทฤษฎีแต่ได้ลงมือปฏิบัติจริงๆ ถือว่าเป็นสิ่งที่สร้างความสนุกให้นักเรียนได้อยากเรียนรู้แบบไม่มีที่สิ้นสุดเลยทีเดียว