เปิดตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้วกับ iPhone SE 2020 ยกเครื่อง ปรับโฉมใหม่หน้าตา ละม้ายคล้าย iPhone 8 กับราคาที่เข้าถึงง่ายด้วยราคาเริ่มต้นที่ 399 ดอลลาร์ ส่วนราคาไทยเริ่มต้นที่ 14,900 บาท

iPhone SE

ดีไซน์เครื่องเรียกว่าตรงตามข่าวลือที่ออกมาก่อนหน้า คือย้อนกลับไปใช้ดีไซน์แบบเดียวกับ iPhone 8 หน้าจอ IPS LCD Retina display ขนาด 4.7 นิ้ว รองรับเทคโนโลยี True Tone Color และ Haptic Touch มีขอบบน-ขอบล่างที่ใหญ่ และปุ่ม Home ที่ฝังเซ็นเซอร์สแกนนิ้ว Touch ID ที่คุ้นเคย

ส่วนสเปคนั้นจะมีการอัพเกรดให้ดีขึ้น เริ่มตั้งแต่ชิปประมวลผลนั้นจะเป็น A13 Bionic แบบเดียวกับที่ใช้ใน iPhone 11 และ iPhone 11 Pro

มาดูเรื่องของกล้องหลังนั้นจะให้มาแค่ตัวเดียว คือกล้องมุมกว้างความละเอียดอยู่ที่ 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f1.8  มีการนำฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์มาช่วยประมวลผลทำให้ถ่ายภาพได้ดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การใช้โปรเซสเซอร์รับสัญญาณภาพร่วมกับ Neural Engine ของชิพ A13 Bionic  จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ Smart HDR ให้ดีขึ้น ด้วยการถ่ายภาพหลายๆภาพในการกดชัตเตอร์แค่ครั้งเดียวแล้วนำมารวมกันให้เป็นภาพที่ดีที่สุด นอกจากนั้นยังช่วยให้การเก็บรายละเอียดและแสงสว่างได้ดีขึ้นด้วย

ใครที่ชอบถ่ายโหมด portrait mode เจ้า iPhone SE 2020 จะมาพร้อมเทคโนโลยีที่ชื่อว่า “monocular depth sensing” เอา AI มาช่วยตรวจจับระยะความลึกและใบหน้าของคน ซึ่งจะทำงานเฉพาะกับการถ่ายภาพคนเท่านั้น เพื่อให้ได้ภาพถ่ายที่ดูเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น พร้อมถ่ายทอดรายละเอียดในส่วนไฮไลท์และเงามืดอย่างน่าทึ่ง 

นอกจากนั้นยังใส่ OIS มาที่ชิ้นเลนส์ช่วยให้ถ่ายภาพและวิดีโอได้นิ่งขึ้น รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที  และช่วงไดนามิกที่กว้างขึ้นบน iPhone SE ยังช่วยถ่ายทอดรายละเอียดในส่วนของไฮไลท์ได้สูงสุด 30 fps

ส่วนแบตเตอรียังไม่มีการประกาศออกมาว่าให้ความจุมาเท่าไหร่ แต่คาดว่าน่าจะเท่ากับ iPhone 8 ส่วนใครที่มีเคสไอโฟน 8 อยู่แล้ว สามารถเอามาใช้กับ iPhone SE 2020 ได้เลยเพราะขนาดตัวเครื่องเท่ากัน

ฟากกล้องหน้านั้นความละเอียดอยู่ที่ 7 ล้านพิกเซล รองรับการทำงานของ portrait mode ด้วย

ในกล่องนั้นจะให้หูฟัง Lightning และที่ชาร์จ 5W มา แต่ตัวเครื่องนั้นรองรับการชาร์จได้ถึง 18W ชาร์จได้ถึง 50% ภายในเวลาเพียง 30 นาทีถ้าใครอยากชาร์จไวขึ้นก็ต้องไปซื้ออแดปเตอร์ใหม่มาเปลี่ยนใช้งานแทน แน่นอนว่าการชาร์จไร้สายก็ยังรองรับอยู่

การเชื่อมต่อรองรับทั้ง Wi-Fi 6, Gigabit LTE รวมถึงการใช้งาน dual-SIMs. (ซิมตัวที่สองนั้นจะเป็น eSIM) รองรับการกันน้ำกันฝุ่น IP67

อีกเรื่องที่ Apple ให้ความสำคัญไม่แพ้กันก็คือ เรื่องของความปลอดภัย มีการปกป้องความเป็นส่วนตัวและให้ผู้ใช้ควบคุมข้อมูลของตนเองได้ ตัวอย่างเช่น Touch ID และ Secure Enclave จะปกป้องข้อมูลลายนิ้วมือ, การป้องกันการติดตามอัจฉริยะใน Safari จะป้องกันไม่ให้ผู้โฆษณาติดตามผู้ใช้จากไซต์หนึ่งไปยังอีกไซต์

สำหรับคนที่สนใจทาง Apple จะเปิดให้สั่งจองล่วงหน้าในวันที่ 17 เมษายนนี้ และจะเริ่มส่งมอบเครื่องในวันที่ 24 เมษายน โดยจะมี 3 สีคือ สีดำ, สีขาว และ Product Red ส่วนความจุจะมีให้เลือกคือ

  • ความจุ 64 GB ราคา 399 ดอลลาร์ (ราคาไทย 14,900 บาท)
  • ความจุ 128 GB ราคา 449 ดอลลาร์ (ราคาไทย 16,900 บาท)
  • ความจุ 256GB ราคา 549 ดอลลาร์ (ราคาไทย 20,900 บาท)

แน่นอนว่าคนที่ซื้อเครื่องใหม่ทุกคน จะได้ใช้งานบริการ Apple TV Plus ฟรีเป็นเวลา 1 ปีเต็มด้วย นอกจากนั้นทาง Apple ยังประกาศยกเลิกการวางจำหน่าย iPhone 8 รุ่นเก่าอย่างเป็นทางการด้วย

ภาพจาก Apple