หลังจากที่เผยโฉม Galaxy Z Fold 2 ไปในงาน Galaxy Unpacked ครั้งที่ผ่านมา ตอนนี้ทางซัมซุงได้เปิดตัวพร้อมเผยข้อมูลของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้อย่างเป็นทางการแล้ว
ดีไซน์และหน้าจอ
ดีไซน์ของตัวเครื่องยังคล้ายกับรุ่นก่อนหน้า ในส่วนของหน้าจอมีการเพิ่มขนาดให้ใหญ่ขึ้นทั้งด้านในและด้านนอกโดยลดขอบจอให้เล็กลง ทำให้เรามีพื้นที่การใช้งานมากขึ้น เริ่มจากจอด้านนอกเพิ่มจากเดิม 4.6 นิ้วเป็น 6.2 นิ้ว เมื่อเวลาพับจอถือว่ามีขนาดกะทัดรัดใช้มือเดียวได้อย่างถนัด
ส่วนจอด้านในเมื่อกางออกมาแล้วจะมีขนาดเพิ่มขึ้นจาก 7.3 นิ้วเป็น 7.6 นิ้ว โดยหน้าจอเป็น QXGA+ DYNAMIC AMOLED แสดงผลได้อย่างคมชัด สีสันสมจริง นอกจากนั้นหน้าจอยังเป็นจอ Infinity-O-Display มีกล้องหน้าฝังใต้จอทำให้เรามีพื้นที่ใช้งานเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นยังเพิ่มความแข็งแรงด้วยกระจกแบบบางเป็นพิเศษ
อัตรารีเฟรชเรตอยู่ที่ 11-120 Hz โดยจะเลือกปรับการแสดงผลอัตโนมัติตามสิ่งที่เราเล่นอยู่บนหน้าจอ เช่นถ้าเราใช้งานทั่วไปที่อย่างอ่านอีเมล หน้าจอจะปรับให้รีเฟรชเรตต่ำเพื่อช่วยประหยัดแบตเตอรี่ ถ้าเป็นเกมก็จะปรับไปใช้ 120 Hz อัตโนมัติเพื่อให้การแสดงผลลื่นไหล
บานพับแข็งแรงขึ้น
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงของ Galaxy Z Fold 2 ที่ต่างจากรุ่นแรกคือ การนำกลไกบานพับแบบเดียวกับ Galaxy Z Flip มาใช้ ด้วยกลไก Dual CAM ทำให้การพับแข็งแรงพับใช้งานได้มากกว่า 200,000 ครั้ง พร้อม Sweeper Technology เพิ่มเส้นใยไฟเบอร์ขนาดเล็กที่มีความยืดหยุ่นสูง ปิดช่องว่างตรงบานพับตอนกางออกหรือพับเก็บ ด้วยความแข็งแรงของบานพับทำให้เราสามารถกางหน้าจอและล็อกตำแห่งได้ตั้งแต่ 75- 115 องศา
กล้องระดับโปร
Galaxy Z Fold 2 มาพร้อมกล้องหลัง 3 ตัวระดับโปร ประกอบด้วย กล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล , เลนส์มุมกว้างพิเศษ 12 ล้านพิกเซล และเลนส์เทเล 12 ล้านพิกเซล ถ้าเรากางออกมาใช้คู่กับจอด้านนอกก็จะทำให้เราถ่ายเซลฟี่คววามละเอียดสูงได้
ส่วนบนหน้าจอสองตัว ทั้งด้านอกด้านและด้านในจะเป็นแบบ Infinity-O-Display ความละเอียด 10 ล้านพิกเซลเท่ากัน มีโหมด Dual preview เมื่อกางออกมาสามารถดูภาพวิดีโอสองฝั่งพร้อมกัน
โหมดการใช้งานที่หลากหลาย
App Continuity รองรับการทำงานแบบต่อเนื่อง เวลาที่เราใช้จอด้านนอกอยู่แล้วเกิดอยากใช้จอใหญ่ พอกางจอออกมาแอปจะทำงานอย่างต่อเนื่องได้ ซึ่งตอนนี้รองรับแอปของซัมซุงและ Google ซึ่งเขาก็พยายามขยายความสามารถนี้ให้กับแอป 3rd party มากขึ้น
Flex Mode
ด้วยบานพับใหม่ทำให้เราสามารถใช้งานตัวเครื่องได้ยืดหยุ่นขึ้นด้วย Flex Mode หรือโหมดพับหน้าจอตั้งขึ้นวางเครื่องโดยไม่จำเป็นต้องถือ ส่งผลให้แบ่งหน้าจอใช้งานได้ โดยระบบจะทำการปรับ layout ให้อัตโนมัติตามแอปที่เรากำลังใช้งานอยู่ เช่น ถ้าทำงานเอกสาร จอด้านบนจะเป็นกระดาษด้านล่างจะเป็นแป้นพิมพ์, ถ้าเราเปิด YouTube ด้านบนจะเป็นคลิป ด้านล่างจะเป็นความเห็น เป็นต้น
- Auto Framing เวลาเราตั้งเครื่องถ่าย ระบบจะทำการปรับเฟรมถ่ายให้อัตโนมัติ ซูมเข้าซูมออกตามคนที่เรากำลังถ่ายอยู่ในระยะ 1.5 – 2.5 เมตร
- Dual View เวลาที่เรากางเครื่องออกมาถ่ายรูป ทั้งคนถ่ายและคนถูกถ่ายจะภาพพร้อมบนจอกัน จะได้ช่วยจัดท่าทางหรือเฟรมภาพให้สวยได้ก่อนกดถ่ายจริง
Multi-tasking ตอบโจทย์การทำงานที่หลากหลาย
ด้วยขนาดจอที่ใหญ่ทำให้ใช้ประโยชน์จาก Multi-tasking ได้อย่างเต็มที่ เช่น พับ 90 องศาใช้แทนขาตั้งกล้องสำหรับถ่ายรูปหมู่ / ถ่ายรูป Hyperlapse
- ด้านข้างมีแถบ Multi-window ลากแอปที่ต้องการใช้งานมาวางบนหน้าจอได้เลย นอกจากนั้นสร้างกลุ่มแอป 3 แอปที่เราใช้งานบ่อยๆได้ เมื่อกดแล้วจะเปิดการทำงานของทั้ง 3 แอปพร้อมกัน
- Spit Screen Capture เวลาที่เราเปิด 3 แอป เราสามารถจับภาพหน้าจอของทั้ง 3 แอปพร้อมกันได้
- Drag and Drop เราสามารถลากไฟล์ ไม่ว่าจะเป็นข้อความ รูปภาพ เอกสารจากแอปนึงไปอีกแปนึงได้
ตัวเครื่องจะมี 2 สีคือ สี Mystic Bronze และ Mystic Black สนนราคาขายอยู่ที่ 1,999 ดอลลาร์หรือประมาณ 62,200 บาท เริ่มสั่งจองล่วงหน้าได้แล้ว วางจำหน่าย 18 กันยายนนี้ นอกจากนั้นตัวบานพับเองยังสามารถเลือกเปลี่ยนได้ 4 สี คือ สี Metallic Silver, Metallic Gold, Metallic Red และ Metallic Blue ซึ่งเราจะต้องสั่งผ่านเว็บของซัมซุงถึงจะเปลี่ยนสีได้
ส่วนใครที่ชอบรุ่นพิเศษ เขาก็มีคอลเลคชันพิเศษ Galaxy Z Fold2 Thom Browne Edition สะท้อนการผสมผสานความล้ำสมัยของเทคโนโลยีเข้ากับผลงานการออกแบบอย่างเหนือชั้น มาในดีไซน์สีเทาพร้อมแถบสีน้ำเงินและสีแดงสุดไอคอนิกของ Thom Browne เพิ่มสัมผัสลักซ์ชัวรี่ด้วยวัสดุ Grosgrain ซึ่งนอกเหนือจากด้านดีไซน์แล้ว คอลเลคชันพิเศษนี้ยังมาพร้อมกับการอัพเกรดด้านซอฟต์แวร์ ไม่ว่าจะเป็นชุดภาพ Lock Screen โฉมใหม่ หรือฟิลเตอร์ภาพถ่ายสุดเอ็กซ์คลูซีฟ เป็นต้น
โดยในคอลเลคชัน Galaxy Z Fold2 Thom Browne Edition ประกอบไปด้วย สมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้ Galaxy Z Fold2 5G, สมาร์ทวอทช์ Galaxy Watch3, หูฟัง Galaxy Buds Live และ Accessories ต่างๆ โดยทั้งหมดมาในดีไซน์สุดคลาสสิกอันเป็นเอกลักษณ์ของ Thom Browne