เมื่อวันพุธที่ผ่านมาทางสภาคอนเกรสของสหรัฐได้ทำการเปิดรับฟังความคิดเพื่อนำข้อมูลไปแก้ไขกฎหมายการผูกขาดการค้าให้ดียิ่งขึ้น นักพัฒนาบางส่วนนั้นพึ่งพา Apple และ Google ทำให้ต่างก็กลัวอำนาจของสองยักษ์ใหญ่ในการควบคุมธุรกิจของพวกเขา

การรับฟังความคิดเห็นในครั้งนี้มีการเชิญตัวแทนจากหลายฝ่ายมาให้ข้อมูล ทั้งจากฝั่งของ Apple และ Google และฝั่งผู้พัฒนาแอปอย่าง Match Group, ผู้พัฒนาแอปหาคู่  Tinder, Tile ผู้พัฒนาอุปกรณ์ติดตามของหาย รวมถึงผู้ให้บริการ Spotify

หัวข้อหลักในครั้งนี้พูดถึงการจัดการแพลตฟอร์มของ Apple และ Google ในการเผยแพร่แอป รวมถึงจัดการแอปคู่แข่ง โดยตลอดการให้ข้อมูลเราจะเห็นว่าเหล่านักพัฒนาต่างก็เกรงกลัวอำนาจของทั้งสองบริษัท ที่สามารถตัดรายได้อย่างง่ายๆ ผ่านการเปลี่ยนแปลงกฎของสโตร์เพียงเล็กน้อย รวมถึงค่าบริการที่สูงเกินไปใน in-app purchases รวมถึงการบังคับใช้มาตรฐานใหม่ที่ไม่ชัดเจน

หลายผู้บริหารหลายคนกล่าวหาว่า  Apple และ Google กำลังคุกคามธุรกิจของพวกเขา ทางผู้บริหารของ Match Group ได้รับสายจาก Google หลังจากประกาศผลประกอบการไป โดยผู้บริหารกล่าวว่าทาง Google มักจะอ้างตัวเป็นแพลตฟอร์มแบบเปิด แต่กลับคิดค่าบริการ 30% ใน Google Play store นั่นหมายถึงอำนาจผูกขาดเพียงรายเดียว

ทางตัวแทนของ Google มองว่านี่ไม่ใช้เรื่องของการคุกคามพันธมิตร เพราะเราต้องการให้นักพัฒนาใช้ Play store เพื่อให้ประสบความสำเร็จ

ค่าบริการและคู่แข่ง

ผู้พัฒนาแอปหลายรายต่างก็บ่นถึงค่าบริการที่ถูกชาร์จในสโตร์จากการใช้บริการแพตฟอร์มดิจิทัล เริ่มจากทาง Spotify  ที่บ่นถึงการปิดปากของ Apple ที่ไม่ให้สื่อสารกับผู้ใช้ในการอัปเกรดไปใช้บริการแบบจ่ายเงิน

ทาง Spotify นั้นเปิดให้ผู้ใช้สามารถอัปเกรดบัญชีได้บนเว็บ โดยไม่ต้องทำในแอปบน iOS เพื่อจะได้ไม่ต้องจ่ายค่าบริการ  15 – 30% ให้กับ Apple ส่งผลให้ทาง Apple ไม่อนุญาตให้ผู้พัฒนาพูดถึงเรื่องการอัปเกรดบัญชีภายในแอป ในขณะเดียวกัน Apple ก็มีบริการ  Apple Music ที่ไม่มีข้อจำกัดเหมือน Spotify ส่งผลให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม

ตัวแทนของ Apple และ Google บอกว่า ค่าบริการนี้จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการเผยแพร่แอปบนแพลตฟอร์มรวมถึงระบบรักษาความ ซึ่งทาง CCO ของ Apple ได้เปรียบเทียบความยุ่งยากและค่าใช้จ่ายในการเผยแพร่แอปที่ผู้พัฒนาต้องเจอ ก่อนจะมี App Store เกิดขึ้น

นอกจากเรื่องค่าบริการแล้วทางนักพัฒนายังเป็นห่วงเรื่องของการแข่งขัน ผู้ใช้อาจจะตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ของ Apple มากกว่าของคู่แข่ง ยกตัวอย่างเช่น  ทางผู้พัฒนา Tile อุปกรณ์ติดตามของหายที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดมากที่สุด ได้สอบถามไปยัง Apple เรื่องการขออนุญาตใช้งาน UWB บน iPhones เพื่อให้การหาตำแหน่งแม่นยำขึ้นกว่าการใช้บลูทูธ แต่ทาง Apple กลับปฏิเสธเพราะจะสงวนไว้ใช้กับ AirTags ของตัวเองเท่านั้น

ในขณะที่ Apple เริ่มปล่อยให้นักพัฒนา third-party ในการเข้าถึงพิกัดที่แม่นยำขึ้นผ่าน Find My Network  ซึ่งเปิดให้มีการแข่งขันมากขึ้น

มาตรฐานที่ไม่ชัดเจน

ผู้พัฒนาแอปยังบ่นถึงการบังคับใช้กฎใน App store ของ Apple ที่มักทำตามอำเภอใจและมีการเลื่อนฟีเจอร์สสำคัญๆหลายครั้ง ซึ่ง Apple มักจะบอกเรื่องกฎ แต่ไม่บอกว่าต้องทำหรือแก้ปัญหาอย่างไร

ยกตัวอย่างเช่น Tinder นั้นส่งแอปเวอร์ชั่นใหม่ให้ตรวจสอบ โดยเพิ่มฟีเจอร์ที่ปกป้องผู้ใช้ LGBTQ+ ให้กับประเทศที่มีความเสี่ยงในการเปิดเผยอัตลักษณ์หรือรสนิยมทางเพศซึ่งต้องใช้เวลานานถึง 2 เดือนในการคุยกับ Apple

นอกจากนั้นยังมีเรื่องของค่าบริการในขณะที่ Tinder มีแต่บริการอย่าง Uber กลับไม่มี ทางตัวแทนของ Apple บอกว่าผู้ใช้ Uber จ่ายค่าบริการที่เป็น non-digital service คือ การใช้งานรถ แต่ Tinder นั้นต่างออกไป

ผู้พัฒนาแอปยังเน้นย้ำถึงการพึ่งพา App stores ในการเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้  “การที่เราไม่ประสบความสำเร็จเพราะสิ่งที่ Apple ทำ หากไม่มีการรบกวนจาก Apple เราจะประสบความสำเร็จมากกว่านี้”

ที่มา CNBC