กูเกิ้ลได้ประกาศเชื่อมโยงข้อมูลของผู้ใช้จากบริการต่างๆ ทั้งอีเมล, วิดีโอ, สื่อสังคมออนไลน์และบริการอื่นๆเข้าไว้ด้วยกันเพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ง่ายขึ้น แต่ก็ยังมีข้อวิพากษ์เกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวตามมา
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะมีผลเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคมเป็นต้นไป ด้วยนโยบายนี้จะทำให้กูเกิลแก้ปัญหาด้านความเป็นส่วนตัวบางอย่างด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลจากบริการอย่างจีเมล, ยูทูป และ Google Plus เข้าด้วยกันเพื่อมาแทนที่บริการตัวเก่าอย่าง Google Buzz
ผลจากการเชื่อมโยงข้อมูลเข้าด้วยกันจะทำให้นโยบายการรักษาความเป็นส่วนตัวต่างๆกว่า 70 ข้อถูกปรับปรุงให้ลดลงมาเหลือนโยบายหลักเพียงข้อเดียวและนโยบายรองอีก 12 ข้อ แต่บริการอย่างเว็บบราวเซอร์ Google Chrome และบริการจ่ายเงิน Google Wallet ก็ยังคงใช้นโยบายความเป็นส่วนตัวแยกออกไปต่างหากอยู่เหมือนเดิม
ระบบใหม่นี้จะช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาข้อมูลได้ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น ส่วนนักโฆษณาก็สามารถค้นหาลูกค้าได้ดียิ่งขึ้นโดยเฉพาะบนอุปกรณ์พกพา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณลงทะเบียนเข้าใช้ใช้กูเกิลหาข้อมูลเว็บเกี่ยวกับสเก็ตบอร์ดเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง ครั้งต่อไปเมื่อคุณเข้ายูทูป มันก็จะแนะนำคลิปเกี่ยวกับสเก็ตบอร์ดหรือ Tony Hawk ให้พร้อมกับขึ้นโฆษณาขายของและสถานที่ที่ซื้อสินค้าได้ใกล้ที่สุด เมื่อคุณเปิดจีเมลหรือ Google+ ก็จะได้ผลแบบเดียวกัน โดยมันจะแนะนำสิ่งต่างๆตามความชื่นชอบหรือความสนใจของคุณ
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้นตามมาหลังจากการประกาศปิดตัวบริการ Google Buzz เมื่อเดือนที่ผ่านมาหลังจากให้บริการมาเกือบ 2 ปี กูเกิลวางให้ Google+ เป็นคู่แข่งที่ออกมาชนกับเฟซบุ้คโดยตรง เพียงแค่ 7 เดือนแรกก็มียอดผู้ใช้มากกว่า 90 ล้านคน เมื่อไม่นานมานี้เพื่อโปรโมท Google+ กูเกิลได้ใส่คำแนะนำเกี่ยวกับบุคคลหรือองค์กรต่างๆที่มีบัญชีผู้ใช้ Google+ ลงไปในผลการค้นหาจาก search engine ด้วย เป็นผลให้เกิดคำวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากที่กูเกิ้ลกำลังละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวด้วยการใช้ความเป็นผู้นำด้านการค้นหาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตมาใช้โปรโมทบริการอื่นๆของตนเอง
ปลายปีที่ผ่านมากูเกิลและ FTC (Federal Trade Commission) ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกัน ห้ามกูเกิลนำข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าไปใช้โดยไม่ได้รับการอนุมัติก่อน และกูเกิ้ลก็ตกลงยอมรับการตรวจสอบทุกสองปีในระยะเวลา 20 ปีนี้ กูเกิลอ้างว่าได้พูดคุยกับผู้มีอำนาจดูแลเกี่ยวกับนโยบายใหม่นี้ที่จะมีผลบังคับใช้ทั่วโลกแล้ว แต่ทางโฆษกของ FTC ปฎิเสธที่จะให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้
Google, Facebook และบริการยอดนิยมอื่นๆบนอินเตอร์เน็ตก็อยากรู้ข้อมูลของผู้ใช้งานให้มากที่สุดเพื่อจะได้ขายโฆษณาได้ในอัตราที่สูงขึ้น กูเกิลกล่าวว่าการโฆษณาสินค้าให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ลูกค้าจะมีแนวโน้มซื้อของเพิ่มขึ้น 37% มากกว่าการโฆษณาโดยหว่านไปทั่วไม่เจาะจงลูกค้าสักกลุ่ม แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งนี้มีผลมาจากที่กูเกิลมีรายได้จากการขายโฆษณาลดลง จากข้อมูลไตรมาสสุดท้ายของปี 2011 กูเกิ้ลมีรายได้จากโฆษณาลดลง 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าช่วงเทศกาลอัตราการซื้อของออนไลน์จะเพิ่มขึ้นก็ตาม
VIA techland