พฤศจิกายนนี้เป็นเดือนของ Apple บุกไทยจริงๆ คือ ช่วงนี้อุปกรณ์ Apple เปิดตัววางจำหน่ายเยอะมาก แล้วก็จากรอบเปิดตัวล่าสุดเนี่ยก็มีของใหม่ที่เรียกว่าแบบสำลักของใหม่เลยอ่ะ

รอบการเปิดตัวล่าสุดเนี่ย มีมิเตอร์ความน่าสนใจจากซีแล้วเนี่ยเทียบแล้วระหว่าง iPad Pro กับ Macbook Air หรือว่าที่เพิ่งเปิดตัวก่อนหน้านี้ไม่นาน รู้สึกว่าแป๊บเดียวก็คือ Macbook Pro 2018 รุ่นไหนน่าจะดีที่สุดกว่ากัน เอาเทียบแค่ iPad Pro กับ Macbook Air ก่อนแล้วกันนะคะ

เพราะว่าถ้าซีดูจากสเปคแล้ว เป็นซีส่วนตัวนี้ซีอาจจะเลือกการใช้งาน iPad Pro เพราะว่ามันสำหรับมือโปรในการใช้งานจริงๆในรุ่นนี้ คือ รุ่น Pro ก่อนหน้านี้ยังไม่รู้สึกว่ามันโปรได้ขนาดนี้

โปรแรกก็คือ…. คือ หลายบล็อกเขียนถึงสเป็คและรูปแบบการใช้งานไปแล้ว ซีจะเขียนตามไลฟ์สไตล์ ไปดูกันนะคะว่า คนใช้ในลักษณะคุณเนี่ยเหมาะกับไลฟ์สไตล์แบบไหน

ตัวแรกก็คือ Macbook Air ไม่ได้อัพเดทมานานมาก สินค้าเป็นสิบปีแล้ว แล้วเขาก็รู้สึกว่า Notebook เนี่ยควรจะต้องเปลี่ยน เพราะฉะนั้นก็จะเป็นคอมพลีท รีดีไซน์ใหม่หมดครั้งแรกนะคะ  ซึ่ง Macbook Air เป็นอะไรที่มันป๊อบมาก คนชอบ แล้วก็ครั้งนี้เค้าก็พยายามใส่ของเจ๋งเข้าไปในการเอาใจคนนะคะ

อย่างแรกเลยก็คือหน้าจอเรติน่า ดิสเพลย์ เค้าก็บอกว่า ตัว iPhone XS หรือว่าจริงๆ iPhone X รุ่นก่อนเนี่ย มือถือมันถ่าย 4K ได้แล้วอะ ทีนี้ถ้าเกิดเอามือถือแล้วมานั่งทำงานกับคอม อย่างเช่นเวลาเราแช๊ะในมือถือใช่มั้ย แล้วเรามานั่งเขียน Blog กางโน้ตบุ๊คออกมา ซึ่งจอ Notebook มันชัดแบบเอามาดูอะไรในสิ่งที่มือถือถ่ายไม่ได้ อันนี้ก็คนก็จะรู้สึกผิดหวัง เพราะฉะนั้นเนี่ยระดับของดีเทลรายละเอียดของตัวพิกเซลเนี่ย มันคือแบบมันละเอียดแนบเนียนและถูกต้องจริงนะคะ หน้าจอ Retina display

เพราะฉะนั้นคือคุณถ่ายอะไรจาก iPhone X หรือ XS อะไรมาเนี่ยแล้วมาดูในหน้าจอ Macbook Air ตัวนี้เนี่ยก็จะบอกว่า ถ้าแค่พรีวิวรูป ใน macOS มันก็มาร์คด้วย macOS Mojave อยู่แล้ว พรีวิวรูป กลับรูป ครอปรูปอะไรแบบนี้ เบื้องต้นมันสามารถทำได้และทำได้ดีเลย

แต่ถ้าเกิดคุณอยากตัดต่ออะไรหนักๆ ยังไงคุณก็ต้องไป ที่ Macbook Pro หรือ iPad Pro คือแบบแต่งรูปเยอะๆแล้วเป็นไฟล์ Raw หนักๆ หลายๆรูป รัวๆอะไรอย่างเงี้ย ซีว่า Macbook Air อาจจะยังไม่มีความสามารถในการทำไปถึงขั้นนั้นได้ แต่ถ้าเกิดไม่เยอะรูป แบบเบาๆอะไรอย่างนี้ พกพา มันก็ยังสามารถทำได้ก็สามารถดูภาพได้อย่างสวยงามแน่นอนนะคะ รูป ซูมเข้าไป ชัดและเห็นรายละเอียดที่ดีมาก

ข้อที่สองคือ Touch ID ใส่อยู่ในปุ่มเปิดเครื่องเวลาเรากด มันก็จะสแกนนิ้วไปด้วยในตัว ก็คือ 2 in1 ก็เป็นความสะดวกอย่างนึงแล้วก็ปลอดภัยตรงที่ว่าเค้าชูจุดขายตัวชิพ Apple T2 Security ซึ่งใส่อยู่ในอุปกรณ์ Apple หลายตัวแล้ว

Apple T2 Security ตัวนี้จะเป็นเหมือนสมองอีกตัวของ Mac แต่เอามาดูเรื่องความปลอดภัยโดยเฉพาะ  ชิพนี้จะทำงานร่วมกับตัวควบคุมการจัดการระบบต่างๆใน Mac อย่างเช่น

  • ทำงานร่วมกับ Touch ID ในการยืนยันตัวตนตอนที่ปลดล็อกเครื่องหรือเข้าใช้งานแอปต่างๆที่เราตั้งลายนิ้วมือเอาไว้
  • ทำงานกับตัวโปรเซสเซอร์รับสัญญาณภาพ อันนี้ทำงานร่วมกับกล้อง FaceTime ทำแผนที่บนผิวหน้าเรา การควบคุมค่าแสงที่ได้ การปรับค่าแสงอัตโนมัติและไวท์บาลานซ์อัตโนมัติโดยอ้างอิงจากการตรวจจับใบหน้า ซีว่าเค้าปูทางให้ Mac ในรุ่นต่อๆไปอาจจะได้ใช้งาน Face ID ได้

Apple T2 chip

  • ทำงานกับตัวควบคุมเสียงอันนี้จะป้องกันการแอบแฮกไมโครโฟน เพื่อดักฟังหรือแอบบันทึกเสียงเราโดยไม่รู้ตัว เวลาที่เราปิดฝาเครื่อง ชิพนี้จะสั่งให้ไมโครโฟนจะถูกปิดการทำงานอย่างสมบูรณ์ ไม่สามารถเก็บเสียงอะไรได้เลย
  • ช่วยเข้ารหัสในหน่วยจัดเก็บข้อมูล SSD ที่ช่วยเข้ารหัสข้อมูล รูปแบบใหม่และความสามารถของระบบการบูทที่ปลอดภัย โดยข้อมูลใน SSD ของคุณจะได้รับการเข้ารหัสโดยใช้ฮาร์ดแวร์ AES แบบเฉพาะ ไม่ต้องกลัวโดนแฮกระหว่างบูตเครื่อง โดยเฉพาะคนที่ชอบโหลดแอปจากแหล่งอื่นที่ไม่ใช่ App Store โดยจะโหลดเฉพาะซอฟต์แวร์ของระบบปฏิบัติการที่ผ่านการรับรองจาก Apple ตอนเริ่มเปิดเครื่องทำงานเท่านั้น

Apple Pay-Touch ID

นอกจากนี้ Touch ID ก็สามารถใช้กับแอปเปิ้ลเพย์ ได้ ซึ่งมี 1,000 กว่าเว็บไซต์นะคะที่สามารถใช้ได้ รวมถึงเว็บไซต์ที่เค้าชูขึ้นมา ใครมีเครดิตการ์ดมีที่อยู่แล้วในบัญชีผู้ใช้ของเรานะคะก็ผูกเข้าไป อยากจ่ายเงินก็แค่เราสแกนนิ้วเข้าไปอะ ไม่ต้องกรอกอะไรทั้งสิ้นเลย แค่นั้นมาส่งที่บ้านเลยของคือเร็วและสะดวกมาก

แถม Touch ID ก็ยังเอาไปใช้กับ Third-Party App ก็คือแอปพลิเคชั่นอื่นๆได้อีก ในการปลดล็อกเข้าไปที่การใช้งานที่แอปพลิเคชั่นของเค้าก็ได้ Touch IDใช้งานกับคีย์บอร์ด บาลานซ์ mechanism ซึ่งมันก็โต้ตอบได้เร็วมากขึ้นยิ่งเป็น Butterfly เนี่ย กลไกเนี่ยมันคืออันเดียวกับคีย์บอร์ดที่ใช้กันกับ Macbook Pro ที่ออกในเดือนกรกฎาคม ปี 2018 เนอะ

นอกจากนี้ยังมีเรื่อง Force Touch และ Trackpad  ที่ดีที่สุดในตลาดตอนนี้คือ Positioning เค้ารู้สึกว่า Force Touch, Trackpad  เค้ามีการแบบเลื่อนเคอเซอร์หน้าจอเนี่ยดีที่สุดแล้วนะคะ แล้วก็รับแรงกดได้หลายระดับมาก กดตรงไหนใน Force Touch จะบนซ้ายล่างขวากลาง ตอบโต้ได้เหมือนกันหมดเลย  อันนี้เค้าก็ชูว่าเทคโนโลยีเค้าเจ๋งมากจริงนะคะ อยากขยายได้ ก็คือไปที่ More info นะคะแล้วก็ 25% 

เสียงเสียงก็กระหึ่มไม่แพ้กัน ปรับลำโพงให้เสียงดังขึ้น เบสหนักขึ้น2เท่า แล้วก็ลำโพงสเตอริโอซาวน์ได้ดีขึ้นคือแยกซ้ายขวาได้ดีขึ้นนะคะ นอกจากนี้ทั้งตัวนี่ก็ยังเป็นอลูมิเนียม โคลชเช่อร์ ก็คือเป็นไฮ ควอลิตี้ อลูมิเนียม ทนถึกเบา ซึ่งทีมอันลอยส์เอนจิเนีย เนี่ยเป็นทีมที่อยู่ในแอปเปิ้ลเลย เพราะฉะนั้นเค้าก็เลยออกแบบวัสดุออกมาได้แบบดีมากขึ้น ทนถึกและมีความเบามากยิ่งขึ้น เค้าก็ภูมิใจในตัวนี้ของเค้ามากนะคะ

รูปแบบการใช้งานที่ต่างกัน

Macbook Air  เน้นการใช้งานที่เป็น Favorite Feature อะไรก็ตามฟีเจอร์พิเศษๆที่เราใช้งานทุกวัน อย่างเช่น กางโน้ตบุ๊คออกมา คุณต้องการทำงานคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสม งานที่เป็นกิจลักษณะ ทำงานแบบจริงๆจังๆมากกว่า

ซีว่าความแตกต่างระหว่างในการเลือก iPad Pro หรือ Macbook Air เนี่ย ต่างกันที่ว่าคุณต้องการทำงานแบบเสร็จเร็ว หรือ อยากทำงานที่มีระเบียบเรียบร้อย งานละเอียด ถ้าเป็นแบบหลังคุณต้องไป Macbook Air คือ การทำงานบนคอมพิวเตอร์เนี่ย เราสามารถย้ายไฟล์ จัดระเบียบไฟล์ ในหน้าตาของ macOS มันเป็นการใช้งานอีกลักษณะนึง

iPad Pro แม้จะทำออกมาสเปคสูงกว่า Macbook Air ซึ่งซีก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ อย่างฮาร์ดไดรฟ์ที่มีความจุสูงถึง 1 TB

Macbook Air - iPad pro

ตารางสเปค Macbook Air และ iPad pro

แต่คอมพิวเตอร์เองก็มีรูปแบบการใช้งานอีกลักษณะนึง ไม่สามารถยกเครื่องขึ้นมาเป็นจอเปล่าๆ ถ่ายโน่น ถ่ายนี่ หรือส่องโน่นส่องนี่ได้นะ คือมันเป็นการใช้งานคนละกันลักษณะจริงๆ

Macbook Air รุ่นแรกเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2008 มาเปลี่ยนโฉมอีกทีในปี 2010 ปรับความละเอียดหน้าจอให้ดีขึ้น แบตเตอรี่มากขึ้นและเปลี่ยนฮาร์ดไดรฟ์มาเป็น SSD แทน พร้อมกับออกรุ่นจอ 11.6 นิ้วที่มีขนาดเล็กลงไปกว่าเดิมอีก  ถัดมาในปี 2018 ก็เรียกว่าเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 3 ของ Macbook Air ที่เปิดตัวมาในจอ 13.3 นิ้ว

หลายคนที่ชอบรุ่นนี้ก็แอบกลัวอยู่เหมือนกันนะเพราะ Macbook Air ไม่ได้อัพเกรดสเปคมาตั้งแต่ปี 2015 โดย Macbook จอ 12 นิ้วมาแทน ซึ่งก็มีสีใหม่อย่าง Rose Gold สีชมพู๊ ชมพู กับสีทองแบบท้องทอง ซึ่งเค้าก็ไม่ทำสีนั้นแล้วล่ะ สีตอนนี้ก็จะดูสุภาพเรียบร้อยขึ้น ซีชอบสี Space gray สีเดียวกับสีที่ Macbook pro มี มันดูแพงมากนะคะ แล้วสีใหม่เค้าก็เป็นสีทองที่ดูผู้ดีนิดนึง คือดูไม่ท้องทองจนเกินไป แต่หน้าจอเป็นขนาดใหม่และมีขนาดเดียวคือ 13.3 นิ้ว

Macbook Air

กระบวนการทำงานทำต้องการใช้พลังประมวลผลสูงๆ ยังไงเราก็ต้องไปที่ Macbook Pro เพราะ Macbook Air ไม่สามารถทำได้หลายอย่างเท่ารุ่นโปร แต่ Macbook Air มีความคล่องตัวในการพกพา คืออยู่ในกระเป๋าผู้หญิงแล้วเรามีความรู้สึกแบบว่า ไม่หนักอ่ะ โอเคอ่ะ ชอบมาก คือสะดวกมาก

ยุคแรกๆที่ซีเข้ามาในวงการ ต้องบอกว่า ต้องเป็นพวก Netbook อ่ะที่ซีพกไปทำงาน ตอนนั้นซีก็พกอยู่ 2 เวอร์ชั่นเหมือนกันนะ Windows ก็ต้องมี Surface Pro ก็ต้องพก แต่ว่า Macbook Air ก็เป็นอีกตัวที่ต้องพก เพราะรู้สึกว่า กางปุ๊บ พิมพ์ๆๆๆได้เรียบเรียงความคิด จากการนั่งพิมพ์อะไรในลักษณะนั้น

ซีชอบคีย์บอร์ด Butterfly มากกว่าคีย์บอร์ดบนเคสของ iPad Pro มากนะคะ เวลานั่งทำงานทีไรยังไงซีก็ขากโน้ตบุ๊คไม่ได้ ตอนนี้ก็ไม่สามารถเลือกใช้ตัวใด ตัวนึง เพียงตัวเดียวได้ขนาดนั้น แต่ถ้าเอางานเสร็จเร็ว แล้ววันนั้นของานด่วน งานเสร็จเร็ว งานที่ต้องจิ้ม ต้องใช้แอป ยังไงก็ต้อง iPad Pro

ส่วน Macbook Air มันได้ฟีลลิ่งของความเป็น macOS experience การทำงานทุกวัน เปิดเว็บ ดูโน่นดูนี่ งานที่วันนึงคุณอาจจะต้องเปิดคอมพิวเตอร์วันละมากกว่า 1-2 ครั้ง งานที่นั่งปุ๊บๆ ใช้เวลาในการพิมพ์ พิมพ์ พิมพ์ ใส่รูป ใส่รูป เขียนบล็อกอ่ะ ซีว่ามันคือ Macbook Air เลย

จอก็สวย Retina Display ทำงานได้สวยๆ ง่ายๆ ส่วนการตัดต่อนะคะ ก็คือทำได้เบื้องต้นกับ iMovie นะคะ ถ้าเป็น Final Cut Pro ขอไปทาง Macbook Pro ไปเลยดีกว่า อะไรที่ต่อพ่วงด้วยคำว่าโปร จงไปที่รุ่นโปรนะคะ

Macbook Air สามารถเพิ่ม RAM ได้สูงสุด 16GB ซึ่งก็เป็น  LPDDR3 มาพร้อมบัส 2133 MHz ถือเป็นหน่วยความจำที่เร็วขึ้นกว่ารุ่นเดิมอย่างเห็นได้ชัด พื้นที่จัดเก็บข้อมูลเป็น SSD ชนิด PCIe มีให้เลือกตั้งแต่ความจุ 128GB, 256GB,  512GB หรือ 1.5TB ได้ที่ถือว่ามีความเร็วสูงมาก มีความเร็วในอ่าน 2 Gbps ต่อกับจอ 5K ได้ด้วย ราคาตอนเปิดตัว 2010 อยู่ที่ 999 ดอลล่าร์ ส่วนรุ่นล่าสุดเริ่มต้นที่ 1,199 ดอลล่าร์ ซึ่งราคาไม่ได้สูงขึ้นมากเพราะสเปคดูดีขึ้นมาก

หน้าจอก็สวย แต่กล้องหน้า HD ยังให้มาแค่ 720p รู้สึกใช้ facetime ยังไม่ค่อยสะใจเท่าไหร่ ไมโครโฟนให้มา 3 ตัว สำหรับตัดเสียงรบกวน ทำงานในร้านกาแฟได้ชิลๆ 

ยิ่งเขียนชักยาวละ เดี๋ยวบล็อกหน้าจะมาต่อเรื่องของ iPad Pro นะ เอาเป็นว่าจะเลือกใช้ Macbook Air หรือ iPad Pro ก็อยู่ที่รูปแบบการใช้งานของคุณแล้วล่ะ