ภายหลังการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของ แอปเปิ้ล อิงค์ ในงาน Apple Special Event ณ “สตีฟ จ๊อป เธียเตอร์” ในเมืองคูเปอร์ติโน รัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา (11 ก.ย. 20190 ) หุ้นของบริษัทแอปเปิล ซึ่งจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้น NASDAQ ของสหรัฐ ก็ปรับตัวพุ่งขึ้นสวนตลาดที่ 1.18 % ปิดตลาดที่ 216.70 ดอลลาร์ ณ สิ้นวัน ตามเวลาท้องถิ่น

Apple Store

Image by MichaelGaida

ทั้งๆ ที่วันเดียวกัน หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในสหรัฐ ปรับตัวร่วงลง และเป็นปัจจัยที่ฉุดดัชนี NASDAQ ของสหรัฐให้ปิดที่ 8,084.16 จุด ลดลง 3.28 จุด หรือติดลบไป – 0.04 % หุ้นขนาดใหญ่กลุ่มนำตลาดปรับตัวลบทั้งสิ้น Netflix หนักสุด – 2.1% Facebook – 1.4 % Microsolf – 1.05% และ Amazon – 0.6 % โดยทั้งหมดปรับตัวลดลงจากข้อมูลเศรษฐกิจจีนที่อ่อนแอ

อะไรคือสิ่งที่ทำให้นักลงทุน และนักวิเคราะห์เชื่อมั่น ? ต่อการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ครั้งใหม่ของแอปเปิลในครั้งนี้ นี่คือเหตุผลทั้ง 5 ข้อ

1.iPhone 11 ปรับราคาลงมาเพื่อให้ผู้บริโภคจับต้องได้มากขึ้น

หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ ทิม คุก ซีอีโอของแอปเปิ้ล ได้รับเสียงปรบมือกึกก้อง “สตีฟ จ๊อป เธียเตอร์” เมื่อคืนนี้ ก็คือการกล้าที่จะตัดสินใจประกาศราคาเปิดตัวที่ถูกลงกว่ารุ่นก่อน โดย iPhone 11 มีราคาเปิดตัวที่ 699 ดอลลาร์ ถูกกว่า iPhone XR ที่เปิดมา 749 ดอลลาร์ สิ่งที่สะท้อนได้ว่าราคาเป็นปัจจัยสำคัญในการทำตลาดขณะนี้ นั่นก็คือการที่ยอดขายในภาพรวมของแอปเปิลตกลงในปีที่ผ่านมา หลังจากที่รุ่นเรือธง อย่าง iPhone XS และ XS MAX เริ่มที่จะ “แพง” เกินไปสำหรับลูกค้า
ยิ่งเมื่อสมทบด้วยการที่ iPhone XR คือโทรศัพท์มือถือที่ขายดีที่สุดในช่วงครึ่งปี 2019 เหนือกว่าคู่แข่งจากค่ายจีน หรือเกาหลีใต้ ก็เป็นหลักฐานที่ว่าลูกค้าพร้อมที่จะซื้อไอโฟน หากราคาสมเหตุสมผลมากขึ้น
การเลือกเปิดตัวในราคาที่เป็นมิตรกับผู้บริโภคมากขึ้น จึงช่วยทำให้ตลาด มองว่าจะส่งผลดีต่อแอปเปิลเอง เพราะหากยังดึงดันเน้นทำตลาดแต่รุ่นเรือธง ที่ตั้งต้นราคาก็เริ่มที่ 999 ดอลลาร์ไปแล้ว เค้กก้อนนี้คงตกไปสู่ ค่ายดังแดนมังกร และแดนกิมจิ ที่มีไลน์โปรดักส์ ซึ่งมีช่วงของราคาที่มากกว่า
ส่วนในไทยเองมีข้อมูลแล้วว่า ทุกรุ่นจะถูกลง 5,000 บาท โดยรุ่นความจุ 64 GB ใน iPhone 11 จะมีราคาอยู่ที่ 24,900 บาท iPhone 11 Pro ราคา 35,900 บาท และ iPhone 11 Pro Max ราคา 39,900 บาท

2.อัพฟังค์ชั่นใหม่มาแบบจัดเต็มไม่มีกั๊ก
สมาร์ทโฟนทั้ง 3 รุ่น ถูกอัพเกรดสเปค และฟังค์ชั่น มาแบบจัดเต็มจริงๆ ซีพียู A13 Bionic ได้รับการการันตีว่าแรงที่สุดในบรรดาตลาดสมาร์ทโฟนตอนนี้ ระบบกันน้ำ กันฝุ่น IP68 กันได้ลึกถึง 2 เมตร นานสูงสุด 30 นาที
iPhone 11 มาพร้อมหน้าจอ 6.1 นิ้ว และกล้องหลัง 2 ตัวคือ wide และ Ultra-wide แบตใช้ได้นานกว่า XR 1 ชั่วโมง มีฟังค์ชั่นถ่ายสโลโมผ่านกล้องหน้าเป็นครั้งแรก
ส่วน iPhone 11 Pro มีขนาด 5.8 นิ้ว และ iPhone 11 Pro Max มีขนาด 6.5 นิ้ว ดีไซด์สวยหรูด้วยวัสดุอลูมิเนียม หน้าจอ Super Retina XDR กล้องหลัง 3 เลนส์ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล เป็นกล้อง Wide, Telephoto และ Ultra-wide มีฟังค์ชั่นถ่ายรูป Portrait lighting และกล้องหน้า 12 ล้านพิกเซล อัพเกรดจากเดิมที่เป็นกล้อง 7 ล้านพิกเซล รองรับการบันทึกวิดีโอ 4K ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง แบตอึดสุดๆ ใช้ได้นานกว่า XS และ XS MAX 4-5 ชั่วโมง ที่สำคัญมีฟาสชาร์ตแถมมาให้ ไม่กั๊กแล้วนะ

3.iPad ใหม่ Gen 7 หวังกินมาร์เก็ตแชร์ ทั้งตลาดโน็ทบุ้ค และพีซี
การกลับมาของ iPad Gen 7 ครั้งนี้ แอปเปิล หมายมั่นปั้นมืออย่างเต็มที่ ที่จะขยายตลาดไปสู่กลุ่มผู้ที่จะซื้อโน็ตบุ้ค และพีซี เพื่อทดแทนกลุ่มผู้ใช้แทบเลต เดิมที่ไม่ค่อยขยายตัวเท่าไรนัก หน้าจอ Retina display จึงถูกอัพเกรดเป็น 10.2 นิ้ว ใหญ่กว่ารุ่นเดิมที่ขนาด 9.7 นิ้ว ความละเอียด 3.5 ล้านพิกเซล
เสริมด้วยประสิทธิภาพความแรง ที่สูงกว่าพีซี 2 เท่า ด้วย Fusion chip A10 พัฒนาระบบ OS สำหรับไอแพดโดยเฉพาะ เพื่อให้ทำงานได้หลากหลายมากขึ้น เช่น การปรับย่อขนาดคีย์บอร์ด การครอบตัดวีดีโอ และการใช้งานร่วมกับแอปเปิล เพนซิล โดยที่มีราคาเปิดตัวเริ่มต้นแค่ 329 ดอลลาร์ เท่านั้น

4. Apple Watch Series 5 กับการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับผู้รักสุขภาพ
Apple Watch ใหม่ มีจุดเด่นที่จอภาพ Retina ที่ติดตลอดเวลาไม่มีดับ เพื่อให้ผู้ใช้ดูเวลาและข้อมูลสำคัญต่างๆ โดยไม่ต้องยกข้อมือขึ้นมา หรือแตะหน้าจอ ทั้งยังเพิ่มคุณสมบัติ เข็มทิศในตัว และระดับความสูง ซึ่งจะช่วยในการทำงานได้ดียิ่งขึ้น
ที่สำคัญยังช่วยเพิ่มฟีเจอร์ โทรฉุกเฉินทั่วโลก บริการฉุกเฉินจาก Apple Watch ได้โดยตรงในกว่า 150 ประเทศทั่วโลก แม้ว่าจะไม่มี iPhone อยู่ใกล้ วัสดุมีทั้งอะลูมิเนียม สแตนเลส เซรามิก และไทเทเนียม สายนาฬิกา ยังจับกลุ่มลักชัวรี่ด้วยการร่วมมือ กับ แอร์เมส
การมาของ Apple Watch Series 5 ยังทำให้ราคาของรุ่นขายดีอย่าง Series 3 ถูกลงอีกด้วย ซึ่งจะช่วยเป็นการเพิ่มยอดขายทั้งในกลุ่มสินค้าใหม่ที่เปิดตัว และกลุ่มผู้ที่อยากใช้ Apple Watch ในราคาที่ถูกลงได้อีกทาง

5. การประกาศศึก Netflix และ Disney รุกตลาดวีดีโอสตรีมมิ่งเต็มตัวด้วย Apple TV+
เพียงแค่วันแรกที่ประกาศเปิดตัว Apple TV+ หุ้นของ Netflix ก็ร่วงทันที – 2.1 % นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกว่า การที่แอปเปิลร่วมลงสนามสู้ศึกวีดีโอสตรีมมิ่งอย่างเต็มตัวครั้งนี้ จะกระเทือนต่อเจ้าตลาด ที่ต้องรับศึก 2 ด้านทั้ง Disney และผู้เล่นใหม่อย่าง แอปเปิล อย่างแน่นอน
แอปเปิล ไม่ได้มาเล่นๆ มีการทุ่มงบประมาณในการพัฒนา Exclusive Content ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะสร้างฐานผู้ชม ให้เกิดการติดตามอย่างเหนียวแน่น มีรายการคุณภาพดีๆ ทั้ง ซีรีย์ เกมส์โชว์ ดราม่า เช่น The morning show, Dickinson, See,For all Mankind และ The Elephant Queen (ซึ่งดูจากตัวอย่างในงานแถลงข่าวแล้ว โปรดักชั่น เข้าโรงฉายได้สบายๆ เลย)  โดยจะนำร่องเปิดให้บริการ 1 พฤศจิกายนนี้ ใน 100 ประเทศ ราคาก็เร้าใจเพียง 4.99 ดอลลาร์/เดือน หรือ ประมาณ 150 บาท (แว่วๆ มาว่าราคาบ้านเราอาจเหลือแค่ 99 บาท !!!) ที่สำคัญยังหวังซื้อใจลูกค้าใหม่ ด้วยการให้บริการฟรี 1 ปี สำหรับผู้ที่ซื้อ iPhone, iPad, AppleTV, iPod touch และ MAC โดย 1 ID รองรับการแชร์ให้กับคนในครอบครัวได้สูงสุดถึง 6 คน อีกด้วย