แม้ราคาของคริปโทจะเริ่มปรับตัวสูงขึ้น แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่ราคาจะตกลงไปอีกครั้ง หลัง Tesla ได้เทขาย บิทคอยน์ออกไป 75% ของพอร์ต อีลอน มักส์อ้าง บริษัทจำเป็นต้องใช้เงินสดเพื่อรักษาสภาพคล่อง

Tesla ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ประกาศผลประกอบการในไตรมาสที่ผ่านมา พร้อมเปิดข้อมูลให้ผู้ที่สนใจโหลดไฟล์เอกสารรายงานตัวเต็มได้  ในส่วนของรถยนต์ไฟฟ้าทำรายได้ไป 14,600 ล้านดอลลาร์ นอกจากนั้นยังมีรายได้จากธุรกิจบริการ 1,470 ล้านดอลลาร์และธุรกิจพลังงานอีก 866 ล้านดอลลาร์ กำไรนั้นอยู่ที่ 27.9%, ซึ่งลดลงจากไตรมาสก่อนที่ได้กำไร 32.9% สาเหตุหลักจากคู่แข่งที่มากขึ้นและสภาพเศรษฐกิจ

ทางบริษัทต้องประสบกับปัญหาเศรษฐกิจหลายด้าน ไม่ว่าปัญหาเศรษฐกิจซบเซา อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น จนไปถึงราคาบิทคอยน์และคริปโทสกุลอื่นๆที่ลดลง ส่งผลให้ทางบริษัทตัดสินใจเทขายบิทคอยที่ถือไว้ในพอร์ตออกไปเป็นจำนวน 75% เพื่อนำเงินสด 936 ล้านดอลลาร์เติมกลับเข้าไปใช้หมุนเวียนในการทำกิจกรรมต่างๆ ส่งผลให้สินทรัพย์ดิจิทัลที่ Tesla ถืออยู่ตอนนี้มีมูลค่า 218 ล้านดอลลาร์เท่านั้น ลดลงจากไตรมาสของปีนี้ที่ถือไว้ 1,200 ล้านดอลลาร์

ปีที่ที่แล้วทาง Tesla ได้ทุ่มเงินกว่า 1,500 ล้านดอลลาร์เพื่อลงทุนในบิทคอยน์ รวมถึงประกาศเปิดให้ลูกค้าจ่ายค่ารถยนต์ Tesla ด้วยบิทคอยท์ได้ตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา จากนั้นประกาศหยุดให้บริการชำระเงินด้วยบิทคอยน์ในเดือนพฤษภาคม เรียกว่าเปิดให้ใช้คริปโทแทนเงินสดได้แค่ 49 วันเท่านั้น

ในงานแถลงผลประกอบการครั้งนี้ ทางอีลอน มักส์ เล่าถึงการเทขายบิทคอยน์ในครั้งนี้ว่า ที่จำเป็นต้องขายเพราะเป็นห่วงเรื่องสภาพคล่องของบริษัท โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของโควิดระลอกใหม่ในจีนที่ทำให้มีการล็อกดาวน์เกิดขึ้น โรงงานที่เซี้ยงไฮ้ต้องปิดตัวชั่วคราวไม่สามารถเดินสายการผลิตได้ ทำให้ Tesla จำเป็นต้องอัดฉีดเงินสดเข้าไป ส่วนของคริปโทอย่าง Dogecoin ที่ทางบริษัทถือไว้นั้นยังไม่มีการขายออกไป

ช่วง 4 เดือนที่ผ่านมานั้นมูลค่าของบิทคอยน์ลดลงอย่างต่อเนื่องซึ่งทาง Tesla ไม่ได้เปิดเผยว่าขายบิทคอยน์ไปที่ราคาไหน แต่ทาง Josh Olszewicz ของ Valkyrie Investments คาดการณ์ว่าน่าจะขายไปที่ 30,000 ดอลลาร์ต่อหนึ่งบิทคอยน์

ทาง Tesla ปฏิเสธว่าการขายคริปโทล็อตใหญ่ในครั้งนี้ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับดีลการซื้อ Twitter ของอีลอน มักส์ ซึ่งก่อนหน้าได้มีการระดมทุนก้อนใหญ่เพื่อมาซื้อกิจการทวิตเตอร์ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจล้มดีลโดยให้เหตุผลว่าทางทวิตเตอร์ให้ข้อมูลไม่เพียงพอ ส่งผลให้ทางบอร์ดบริหารของทวิตเตอร์ได้ตัดสินใจยื่นฟ้องร้องต่อศาลเพื่อบังคับให้ดีลนี้เกิดขึ้นตามข้อตกลงเดิม ไม่ก็ต้องจ่ายค่ายกเลิก โดยคดีนี้จะเริ่มต้นพิจารณาในเดือนตุลาคมนี้

ที่มา thevergeCNBC