ในสภาวะการเร่งรีบ การแข่งขันในด้านเชิงธุรกิจ การติดต่อการสื่อสารผ่านทางโทรศัพท์มือถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เร็วและสะดวก หากยิ่งมีตัวช่วยเพื่อเพิ่มระดับการสื่อสารได้คล่องตัวแล้วละก็ จะยิ่งช่วยเพิ่มการสนทนากระชับและฉับไวได้ยิ่งขึ้น
วันนี้เลยอยากลองเสนอหูฟังแบบไร้สายที่ต่อเข้าได้กับโทรศัพท์ทุกประเภทผ่านทาง Bluetooth สะดวกและคล่องตัวง่ายกว่ายกมือถือแนบหูในระหว่างการสนทนาแถมบางทีอันตรายหากขับยานพาหนะอยู่ แต่หูฟังแบบนี้ในตลาดมีเกลือนเลย แล้วตัวไหนละถึงจะดีที่สุดสำหรับเรา วันนี้เลยจะขอเสนอหูฟังระดับเทพรุ่นนึง ที่เค้าว่ากันว่าฆ่าเสียงรบกวนได้ขนาดชนิดที่แบบว่า Clear Voice , Noise Killing ระดับ HD กันเลยทีเดียว นั่นคือ Jawbone Era 2014 แล้วมันดีอย่างไรตามมาดูกันเลย
Era 2014 ถือเป็น Generation ที่ 2 ต่อจาก Era รุ่นแรกที่ออกมาในปี 2012 ต่อยอดออกมาและพัฒนารูปทรงให้ถูกใช้งานได้สะดวกขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบอดี้ที่เล็กลง จุกหูฟังที่แน่นขึ้น กล่อง Packaging ที่ทำรูปแบบออกมาใหม่สามารถรีไซเคิลได้ อีกทั้งเจ้า Era Gen 2 ยังมาพร้อมกับแท่นชาร์จไฟแบบพกพาอีกด้วย แต่สิ่งที่ขาดหายไปจาก Era Gen 2 คือตัวคล้องหูหรือที่เกี่ยวหูเพราะเท่าที่ทาง Jawbone ลองสำรวจดูตลาดจากรุ่นแรกๆ ที่ผ่านมาผลปรากฏว่าไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควรส่วนใหญ่มาในกล่องแบบไหนก็อยู่แบบนั้นได้แค่ลองตอนเปิดกล้องเท่านั้นละจากนั้นก็สลบนอนแน่นิ่งอยู่ในนั่นต่อไป อะที่นี้เราลองมาดูสเปคคร่าวๆ ของ Era Gen 2 นี้กัน
- ขนาด 4.6 x 2.1 x 1.3 cm
- น้ำหนัก 6g
- Wideband Audio ( HD Voice ) Compatible ( แต่เดิมเป็นจุดขายของ Plantronics แต่ Jawbone เพิ่งจะใส่มาในรุ่นนี้ )
- คุยได้ 4 ชม.
- ถ้าใช้ charging case ด้วย จะใช้ได้ 10 ชม.
- ดูแบตเตอรี่ด้วย Jawbone App ในมือถือได้ ทั้งระบบ Android และ Ios
- ระยะทำการ 10 เมตร
- รองรับ EDR (เพิ่มความเร็วในการส่งข้อมูลสูงสุดเป็น 3 Mbps.)
- ระบบตัดเสียงรบกวน NoiseAssassin 4.0
- ระบบเสียง HD Audio
- Comfort fit มั่นใจได้ว่าใส่ง่าย กระชับหู
แต่ที่ทาง Jawbone เน้นมาเป็นพิเศษที่จับใส่มาในรุ่นนี้คือ ระดับเสียง HD การตัดเสียงรบกวนเวอร์ชั่น 4 และใส่สบาย
อุปกรณ์ คราวนี้หันมาดูในกล่องกันบ้าง จับครั้งแรกคิดเลย แหม Jawbone งกวัสุดไปไหนราคาขนาดนี้วัสดุก็เข้าใจอะนะว่าใส่ใจสิ่งแวดล้อม แต่บางทีก็ใส่ใจคนซื้ออย่างเราๆ บ้างก็อยากมีกล่องหรูหราไว้โชว์บ้าง แหมมาเป็นเหมือนกระดาษแข็งชุบแป้งเปียกเลย อะมาดูกันต่อดีกว่า ภายในกล่องก็ประกอบไปด้วยหูฟัง Jawbone Era , สายชาร์จแบบ Micro Usbเอกสารคู่มือ , และจุกหูฟังแต่ละขนาดอีก 3 ชิ้น ซึ่งแต่ละอย่างดียังไงเหมือน Era รุ่นแรกเราจำแนกออกมาเป็นข้อๆ กันดีกว่า
หูฟัง Era Gen 2 นั่น วัสดุจะใช้เป็นพลาสติก ส่วนด้านนอกจะเป็นอะลูมิเนียมสะท้อนแสงนิดๆ ตัดเหลี่ยมหน่อยๆ ทำให้เวลาส่องสะท้อนกับแสงจะเกิดเป็นประกาย หันมาดูด้านในบ้างประกอบไปด้วยสวิตเปิดปิด จุกเซ็นเซอร์วัดระดับเสียงเวลาแนบกับแก้มผู้ใช้ แล้วก็ไฟวงกลมตรงกลางจุกยางที่แสดงผลเวลาชาร์จไฟ หรือแสกนหาคลื่นเวลาต่อเข้ากับมือถือ แบ่งออกเป็น 3 ระดับได้ดังนี้
1 . ไฟขาวตอนเปิดเครื้อง 2. ไฟขาวกระพริบตอนซิ้งเข้ากับมือถือ 3. ไฟแดงแสดงสถานะแบตใกล้หมด ถัดมาด้านข้างจะเห็นรูเล็กด้านบนและล่างทั้งคู่คอยทำหน้าเหมือนเซ็นเซอร์ตรวจจับวัดระดับเสียงรอบด้านผู้ใช้เพื่อทำการตัดเสียงรบกวนหรือ NoiseAssassin ที่ในครั้งนี้มาถึง Version 4.0 เข้าไปแล้วไม่รู้จะตัดกันขนาดไหนประมาณว่าเสมือนมาคุยอยู่ข้างตัวกันเลยทีเดียว กลับไปด้านบนบ้างจะมีช่องอยู่นั้นคือช่องเสียบสายชาร์จ ซึ่ง Jawbone มาถูกทางละที่ผลิตออกมาแบบนี้ทั้งหาง่าย พกสะดวก หายืมง่าย ไม่เหมือนกับคู่แข่งอีกค่ายที่ต้องของเค้าเองเลยละหากลืมไว้ที่บ้านก็จบ เรากำลังพูดถึงสายชาร์จแบบ Micro Usb นั่นเอง เกลือนตลาดไหมละไปทางไหนก็เจอ สั่น ยาว แบน กลม มีหมด เขยิบมาอีกหน่อยเป็นส่วนของหูฟังและจุกเสียบหูฟังที่ถูกออกแบบมาใหม่จากรุ่นแรก คือ ผลิตออกมาให้แน่นอนและสบายต่อการสวมใส่
สายชาร์จ — เป็นสายชาร์จหัวแบบ Micro Usb ธรรมาดไม่ได้หวือหวาอะไร แต่สามารถต่อเข้ากับคอมเพื่อทำการอัพเดท Software หรือปรับแต่งการทำงานในอนาคตได้
จุกหูฟัง — มีมาให้ทั้งหมด 4 ชิ้นรวมถึงชิ้นที่ติดมากับตัวหูฟังเลย แบ่งออกเป็น 3 ไซส์ S , M , L โดยที่ไซส์ M จะมีให้อย่างละข้างทั้งซ้ายและขวา วัสดุเป็นแบบซิลิโคนนิ่มๆ ยืดหยุ่นเข้ากับร่องหูได้เหมาะพอดี ลักษณะจะคล้ายๆหูฟังแบบ In-Ear แต่ไม่ถึงกับสอดเข้าไป มีเพียงบางส่วนยื่นเข้าไปแค่นั้น
ที่ชาร์จหรือ Charging Case — Jawbone นั่นได้วางขาย Era Gen 2 ออกเป็น 2 แบบคือ แบบแรกมีแค่หูฟัง แบบที่สองมีทั้งหูฟังพร้อมแท่นชาร์จ แต่ราคาก็ต่างกันไปด้วย แท่นชาร์จนี้ผลิตออกมาได้ดูหวือหวาสวยหรูมากเล็กกระทัดรัด ขนาดใกล้เคียงกับหูฟัง ตรงมุมด้านซ้ายล่างมีสายหนังคล้องข้อมือขนาดเล็กสามารถอดออกได้ เหนือขึ้นไปเป็นจุด 3 จุดเป็นตัวแสดงค่าคงเหลือของแบตเตอรี่จะเห็นผลได้ต่อเมื่อยกหัวชาร์จขึ้นหรือทำการชาร์จไฟ มาอีกด้านเป็นช่องPort ชาร์จไฟแบบ Micro Usb สามารถใช้สายร่วมกับสายชาร์จ Smart Phone ที่ไม่ใช่ระบบ Ios ได้เลย
การใช้งาน
- หูฟัง Era Gen 2 จะใช้เวลาชาร์จไฟให้เต็มประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที โดยประมาณ และพูดคุยได้ต่อเนื่อง 4 ชั่วโมง ลักษณะการเชื่อมต่อสามารถแพร์หรือต่อเข้ากับมือถือได้ 2 เครื่อง แต่เวลาใช้ไม่สามารถใช้พร้อมกันได้ต้องตัดเข้าสู่เครื่องใดเครื่องนึง หลังจาก Pair แล้วหากต้องการที่จะทราบว่าเหลือเวลาในการสนทนาแค่ไหน เพียงแค่กดปุ่มด้านบนก็จะมีเสียงตอบรับกลับมาว่า Talk Time Ramaining ส่วนเหลือเวลาแค่ไหนก็จะนับเป็น One , Two แล้วแต่ลักษณะของผู้ใช้
- ระหว่างการสนทนาผู้ใช้จะได้รับฟังเสียงสนทนาได้ในระดับ HD เสียงดังฟังชัด แถมยังสามารถตัดเสียงรบกวนรอบด้านจากผู้ใช้ในขณะที่คู่สายสนทนาได้อย่างเด็ดขาดด้วยระบบ NoiseAssassin 4.0 ตามสภาพแวดล้อมที่อยู่
- นอกจากการเชื่อมต่อสนทนาแล้ว Era Gen 2 ยังรองรับระบบ Media Audio อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการฟังเพลง ดูหนัง หรือเล่นเกม หรือสนทนาผ่าน Google+ , Skype ก็ทำได้เสียงดังชัดเจนไม่แพ้การสนทนาเลย อีกทั้งยัง Support การทำงานนี้ได้ทั้ง Smartphone , Tablet , Pc , Laptop หากสิ่งเหล่านี้มี Bluetooth ไว้เชื่อมต่อ
- Charging Case ในด้านการใช้งานสามารถชาร์จไฟให้เต็มได้ใช้ระยะเวลาแค่ราวๆ 45 นาทีเท่านั้น และหากนำไปชาร์จกับตัวหูฟัง Era Gen 2 จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงได้ และชาร์จไฟให้กับเจ้าหูฟัง 1 รอบกับอีกหน่อยๆ ก็สามารถเพิ่มระยะการใช้งานไปได้อีกถึง 6 ชั่วโมงเลยทีเดียว หากต้องการทราบถึงแบตเตอรี่ว่าเหลือเท่าไรก็เพียงแค่ยกตรงหัว Micro Usb ให้ตั้งฉาก ทางด้านข้างก็จะปรากฏไฟ LED 3 ดวงแสดงสถานะค่าคงเหลือของแบตเตอรี่ หากทำการเสียบต่อเข้ากับหูฟังแล้วจะต้องกดลงเข้าไปในตัวแท่นเพื่อเริ่มชาร์จ ไฟสีแดงก็จะปรากฎตรงวงแหวน LED จากหูฟังแสดงสถานะการชาร์จไฟอยู่ หากยกเลิกก็จับต้งฉากเหมือนเดิมการชาร์จก็จะสิ้นสุดลง
ข้อสรุปหลังจากการใช้งานทั้งข้อดีและข้อเสีย
ข้อดี
- ผู้ใช้ได้ยินเสียงสนทนาชัดเจนดีมาก
- ตัดเสียงรบกวนตามสภาวะแวดล้อมที่อยู่ได้เกือบ 100 %
- น้ำหนักเบา พกพา สะดวก
- รูปทรงเพรียวสวย เด่น
- แท่นชาร์จเป็นอุปกรณ์ที่เสริมที่สะดวกในยามที่ต้องการความเร็วในการชาร์จด่วน
- จุกยางหูฟังออกแบบมาใหม่ทำให้ยึดแน่นกับตัวหูฟังได้ดีกว่า Era รุ่นแรก
ข้อเสีย
- ไม่มีที่ปลั๊กชาร์จไฟมาให้ แถมมาแค่ตัวสายชาร์จ Micro Usb เท่านั้นทำให้คนที่ไม่เคยมีปลั๊กแบบนี้ต้องเสียเงินหาเพิ่ม
- ยังไม่พร้อมการรองรับการใช้งานสนทนาแอฟดังๆ เช่น Messenger , Line เพื่อลดต้นทุนค่าโทรศัพท์
- ก้านพลาสติกที่เป็นตัวยึดไม่ให้หูฟังหลุดออกมาในกล่องนั่น แข็งเกินไปเอาออกยากกลัวหัก
- Packaging หรือกล่องที่ให้วัสดุไม่ค่อยดูดีเหมือนรุ่นก่อนๆ ในราคาระดับ 3000 – 4000
- ยังคงขาดปุ่มปรับเสียงเหมือนใน Era รุ่นแรก หากต้องการปรับต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาปรับอย่างเดียว ยุ่งยากมาก
- ปุ่มยางตรงปลายหูฟังหากไม่แนบชิดเข้ากับแก้มผู้ใช้ จะทำให้ประสิทธิภาพในการตัดเสียงลดลง
- ผู้สนทนาคู่สายกับผู้ใช้มีความรู้สึกเหมือนคุยแบบไกลๆ เสียงก้องๆ ไม่ค่อยชัดเท่าไร เนื่องจากมี Bug ในตัว
Noise Assasssin นั่นเองเกิดจาก ด้วยความที่ Jawbone มันทำหน้าที่การตัดเสียงรบกวนรอบข้างได้ดี ตัวหูฟังก็เลยเน้นเสียงของเราให้แน่นขึ้นและตัดเสียงรอบข้างลงแต่ไม่หมด 100 % จึงทำให้คนที่เราคุยด้วยจะได้ยินเสียงของเราออกทุ้มๆ ก้องๆ ไม่ใสเท่าที่ควรเพราะการบีบอัดเสียงให้แน่นขึ้นกว่าเดิม
- จุกหูฟังเนื่องจากมีขนาดใหญ่มากถึงแม้จะเป็นไซส์เล็กก็ตาม จากที่ได้ใส่ครั้งแรกจะรู้สึกเจ็บมากที่หูหลังจากใส่ไปนานๆ
- ระยะเวลาในการสนทนาน้อยลงกว่าเดิมถึง 1 ชั่วโมง จาก Era Gen 1 ทำไว้ 5 ชั่วโมงลดลงเหลือแค่ 4 ชั่วโมงเท่านั้น
- ราคาค่อนข้างแพงมากในตลาด หากต้องการเจาะตลาดควรเน้นราคาให้พอเหมาะหรือออกมาหลายๆ รุ่นให้เลือกซื้อหาได้ง่ายกว่านี้
- การฟังเพลงผ่านหูฟัง Era Gen 2 ไม่ได้ให้ความรู้สึกไพเราะมากหากเทียบกับหูฟังแบบมีสาย เสียงเหมือน Mono Tone ต่ำ กลาง แหลม อยู่ในระดับเดียวกันหมด
ความคิดเห็นโดยส่วนตัวของผู้เขียนหลังจากที่ทดสอบการทำงาน
การใช้งานสำหรับตนเองถือว่าทำได้ดี ง่ายต่อการพกพา เชื่อมต่อไวทันใจ ขั้นตอนระหว่างการสนทนากับคู่สายได้ยินชัดเคลียร์ ระยะเวลาในการสนทนาที่บอกว่าใช้ได้แค่ 4 ชั่วโมงนั้นคิดว่าเพียงพอสำหรับตน เราจะคุยอะไรมากมายขนาดนั้นในแต่ละวัน คุยงาน คุยกับเพื่อนมากสุด 2 ชั่วโมงก็หรูแล้ว แต่ติตรงที่มันออกแบบมาไม่ค่อยถูกใจเท่าไรสำหรับรูปทรง คือดูดีสำหรับสีดำ เงิน แต่หากเป็นสีบรอนซ์หรือสีแดง ให้ความรู้สึกหวานแหวว แต๋วจ้าไปนิดนึง ชอบทรงของตัว Era Gen 1 มากกว่า เพราะคิดว่าหากเทียบกับอีก Brand นึง คือ Plantronics เจ้านั้นดีไซส์สวยหรูทั้งกล่องและตัวหูฟังในราคาระดับไล่ๆกัน หูฟังทำใหญ่มากถึงแม้ว่าจะกระชับแน่นแต่หากใช้นานเป็นชั่วโมงมีเจ็บแน่ สุดท้ายผู้เขียนแอบมีใจกับ Era Gen 1 พอควรเพราะว่าทำออกมาได้ดีเกือบหมดทุกอย่างเท่าที่ Era Gen 2 ต่อยอดออกมา แต่ไม่ว่าจะหรูขนาดไหน พรี่เมี่ยมมากน้อยเพียงใด ใช้งานง่ายแค่ปุ่มเดียว หูฟังก็คือหูฟังปลายทางก็คือการสนทนาที่ทั้งคู่เข้าใจตรงกันและต่อยอดซึ่งกันและกันได้เพียงเท่านี้ เทคโนโลยีช่วยให้แค่มีความรู้สึกสะดวกสบายขึ้นแค่นั้น เพราะยังไงสุดท้ายมนุษย์คนเรายังคงธรรมชาติพื้นฐานที่ปฏิบัติต่อๆ กันมาทุกยุคทุกสมัยคือการเอาโทรศัพท์แนบหูคุยกันนั่นเอง
เรียบเรียงโดย – NuTty m00yAi