หลังจากที่ Apple Watch เริ่มวางจำหน่ายในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทาง IDC ได้ออกมาคาดการณ์ยอดขายอุปกรณ์สวมใส่ทั่วโลก โดยปีนี้จะเพิ่มขึ้น 173% จากยอดขาย 26.4 ล้านชิ้นเมื่อปีก่อนเป็น 72.1 ล้านชิ้นในปี 2015
การคาดการณืครั้งนี้รวมทั้งอุปกรณ์สวมใส่แบบพื้นฐานและแบบอัจฉริยะ ทั้งสายรัดข้อมือ, นาฬิกา, แว่นตา, แบบโมดูลล่าร์ที่ใช้ติดกับอุปกรณ์อื่น, เสื้อผ้า เป็นต้น (ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้จะมีจอหรือไม่มีก็ได้) ไม่ใช่แค่ Apple Watch และ Android Wear เท่านั้น
เมื่อปีที่แล้วอุปกรณ์สวมใส่แบบพื้นฐานมียอดขายชนะอุปกรณ์แบบอัจฉริยะในสัดส่วน 4 ต่อ 1 (22.1 ล้านชิ้น/ 4.2 ล้านชิ้น) แต่มาในปีนี้ IDC ประเมินว่าอุปกรณ์อัจฉริยะจะขายได้มากขึ้นทำให้ช่องว่างลดลง ( 39 ล้านชิ้น/ 33.1 ล้านชิ้นจากยอดขายรวม 72.1 ล้านชิ้น ซึ่ง IDC ได้แตกออกมาชัดเจนว่าประเภทไหนจะขายได้กี่เครื่องบ้าง บอกเพียงแค่ว่าอุปกรณ์สวมใส่ที่สามารถลงแอป third party ได้ ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้จะขึ้นไปเป็นผู้นำภายในปี 2016 และภายในปี 2019 ตัวเลขยอกขายรวมของอุปกรณ์สวมใส่จะโตขึ้นไปเป็นปีละ 155.7 ล้านชิ้น
“อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะอย่าง Apple Watch และ Hololens ของไมโครซอฟท์เป็นตัวบ่งชี้ถึงความเปลี่ยนแปลงของระบบคอมพิวเตอร์ ช่วงรอยต่อระหว่างอุปกรณ์สวมใส่พื้ฐานไปยังอุปกรณ์อัจฉริยะจะเป็นการเปิดโอกาสให้ทั้งผู้ผลิต, ผู้พัฒนาแอป, ผู้ผลิตอุปกรณ์เสริม…ด้าน Android Wear, Tizen และ WatchOS ต่างก็พุ่งเป้าไปที่การพัฒนาอินเตอร์เฟซ, ประสบการณืการใช้งานและแอป สิ่งเหล่านี้จะช่วยเพิ่มการรับรู้ว่าอุปกรณืสวมใส่ทำอะไรได้มากกว่าที่คิด ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์ตจะเน้นการพัฒนาสิ่งที่ดี่ที่สุด”
ฟาก Apple เองยังไม่มีการเปิดเผยยอดขาย Apple Watch แต่คาดว่าเฉาะในอเมริกายอดขายน่าจะเฉียดๆ 3 ล้านเรือน ถ้านับรวมยอดขายในอังกฤษ, ออสเตรเลีย, แคนาดา, จีน, ฝรั่งเศส, เยอรมันและญี่ปุ่น ทาง KGI Research คาดว่าน่าจะขายได้ราว 5-6 ล้านเรือน ซึ่งถือว่าห่างจากตัวเลขคาดการณ์ล่วงหน้าที่ตั้งยอดขายปีนี้ไว้ที่ 15 ล้านเรือนทั่วโลก
VIA 9to5mac