เปิดตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้วกับ Huawei P20 ที่บอกได้คำเดียวว่า เป็นสมาร์ทโฟนกล้องเทพสุดในตลาด พร้อมเทคโนโลยีถ่ายภาพสุดอัจฉริยะด้วยแนวคิด  Master photography Power by AI

P20 Pro

Huawei P20

กลับมาครั้งนี้พร้อมจุดขาย Master photography Power by AI นำปัญญาประดิษฐ์มาช่วยให้ถ่ายภาพได้แบบมืออาชีพ สิ่งที่หลายคนสงสียก็คือทำไมไม่ใช้ชื่อ P11 ล่ะ? ทางผู้บริหารบอกว่าเพราะรุ่นนี้ใส่เทคโนโลยีอัดแน่นแบบก้าวกระโดด งานที่จัดที่ปารีสปีนี้เปิดตัวด้วยกัน 2 รุ่นคือ P20 และ P20 pro ตามคาด ซึ่งสเปคที่เปิดตัวมาแทบจะไม่ต่างจากข่าวลือที่ออกมาก่อนหน้านี้

สิ่งที่หัวเว่ยเน้นหลักๆบนเวทีจะแบ่งเป็น  3 หัวข้อให้เข้าใจได้มากขึ้น โดยสิ่งที่พัฒนาขึ้นไปในรุ่นนี้ก็คือ More Art, More Light และ More Intelligence

Huawei P20

  1. More Art

การดีไซน์ตัวเครื่องที่สวยงามยิ่งขึ้น การออกแบบนั้นเน้นความกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว ที่น่าสนใจก็คือตัวเครื่องจะไร้รอยต่อ ช่วยให้จับกระชับและสบายมือ ออกแบบใช้หลักสมมาตร เท่ากันซ้ายขวา ส่วนที่หลายคนอาจจะไม่ชอบก็คือ รอยบากสีดำด้านบนและรุ่นนี้จะไม่มีช่องหูฟัง 3.5 มม.แล้ว ต้องมาเสียบผ่าน USC-C หรือต่อหูฟังไร้สายแทน

เรื่องต่อมาคือสีของตัวเครื่อง โดยไอไลต์ปีนี้ก็คือ สี twiglight ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติ โดยเลียนแบบสีของท้องฟ้าตอนพระอาทิตย์ตก นอกจากนั้นสีอื่นก็มี Pink Gold เน้นความเป็นแฟชั่น,Midning Blue และ Graphite Black นอกจากนั้นตัวเครื่องยังมีธีมมาให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน

ในส่วนของหน้าจอก็พัฒนาให้แสดงผลได้ดียิ่งขึ้น ซึ่ง P20 นั้นจะมาพร้อมจอขนาด 5.8 นิ้ว RGBW Fullview Display พื้นที่หน้าจอมากกว่าเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นที่ขนาดหน้าจอเท่ากัน ให้ความสว่าง 770 นิทแต่ใช้พลังงานต่ำจึงทำให้ประหยัดแบตเตอรี่ เมื่อเทียบแล้วหน้าจอสว่างกว่า iPhone X 23%  ข้อดีของจอแบบใหม่นี้คือใช้งานเอาท์ดอร์ที่แสงจ้าๆก็ยังเห็นภาพชัดเจน แบต 3,400 mAh

ส่วน P20Pro นั้นจะมาพร้อมหน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว RGBW Fullview ให้คอนทราสสูง 1: 1,000,000 ความกว้างของสี 105% เห็นรายละเอียดของภาพนิ่งและวิดีโอชัดเจน ให้แบตมา 4000 mAh แต่ตัวเครื่องกลับบางแค่ 7.8 มม.เมื่อเทียบกับ Galaxy S9 ที่ 8.4 มม นอกจากนั้นยังมาพร้อมมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP67 ช่วยให้มั่นใจในการใช้งานยิ่งขึ้น แบตให้มา 4,000 mAH

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงก็คือ ทั้งสองรุ่นนี้จะย้ายเซนเซอร์สแกนกลายนิ้วมืออยู่ด้านหน้า ซึ่งเค้าเรียกเซนเวอร์นี้ว่า Edgeless Fingerprint พื้นที่เพิ่มขึ้น 11% ปรับการทำงานฉลาดขึ้น รองรับ Grsture Control ถ้าเราแตะสั้นก็จะเป็นการสั่งงานย้อนกลับ (Back) แตะค้างเป็นปุ่มโฮม เลื่อนซ้ายขวาเปลี่ยนหน้า เรื่องที่สองก็คือ รอยบากด้านบนคล้าย iPhone X แต่มีขนาดเล็กลง ซึ่งเป็นส่วนที่ฝังเซนเซอร์ต่างๆไว้ด้านใน หน้าจอมาพร้อมเทคโนโลยี natural Tone Display ช่วยปรับแสงให้เป็นธรรมชาติ ปกป้องดวงตา

2. More Light

สมทร์ทโฟนทั้งสองรุ่นนี้มีการพัฒนาให้ถ่ายรูปได้ดีขึ้น ซึ่ง P20 นั้นจะมาพร้อมเลนส์คู่ Leica ตัวใหม่ แบ่งเป็นเลนส์สี RGB ความละเอียด 12 ล้าน เลนส์โมโนโครมความละเอียด 20 ล้าน เพิ่มขนาดพิกเซลใหญ่ขึ้นเป็น 1.5 um สูงกว่าคู่แข่ง (ค่ามากแสดงว่ารับแสงสว่างได้ดีกว่า ทำให้ถ่ายภาพในที่มืดได้ดีขึ้น) เมื่อรวมกับรูรับแสงกว้าง f1.6 และ f1.8 จึงทำให้ถ่ายภาพในแสงน้อยได้ดีขึ้น ส่วนกล้องหน้าเพิ่มความละเอียดเป็น 24 ล้าน ช่วยให้ถ่ายภาพเซลฟี่ได้ดี เก็บครบทุกรายละเอียด พร้อมเทคโนโลยี 3D portrait Lighting สร้างเอฟเฟคแสง ทำได้ก่อนถ่ายหรือถ่ายภาพมาแล้ว สิ่งที่น่าสนใจก็คือทำคะแนนรวม DXO Mark ด้านการถ่ายภาพได้สูงถึง 102 คะแนน แบ่งเป็นภาพนิ่ง 107 ส่วนวิดีโออยู่ที่ 94 คะแนน ปัจจัยสำคัญก็คือ ขนาดเซนเซอร์ที่ใหญ่ขึ้นเป็นขนาด 1/ 2.3 นิ้ว

ข้ามมาดู P20 Pro กันบ้างรุ่นนี้มาพร้อม กล้องหลัง Triple Camera 3 เลนส์ ความละเอียด 40 ล้าน มากที่สุดในตลาดตอนนี้ แบ่งเป็น เลนส์ RGB 40 ล้าน เลนส์โมโนโครม 20 ล้าน เลนส์เทเล 8 ล้านซูมได้ 3เท่า (ไฮบริดซูม 5 เท่า ดิจิทัลซูม 10  เท่า) แถมยังไม่เสียรายละเอียด ส่วนเซนเซอร์เลือกใช้ขนาด 1/1.7 นิ้ว (ใหญ่กว่า S9+ 125% iPhone x 170%) ความไวแสง ISO 102,400 ซึ่งจะพบในกล้อง DSLR เทียบเท่า CANON 5D mark IV แม้จะมีความสว่างแค่ 1 ลักซ์ก็สามารถถ่ายภาพได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้แฟลช (ซึ่งความสว่างขนาดนี้ตาเปล่าเราก็เรียกว่าแทบจะมองไม่เห็นแล้ว) แถมยังได้ละเอียดในระดับทีดีด้วย มาพร้อมเทคโนโลยีช่วยให้ถ่ายย้อนแสงได้ดีขึ้น  ที่น่าสนใจก็คือทำคะแนนรวม DXO Mark ด้านการถ่ายภาพได้สูงถึง 109 คะแนน แบ่งเป็นภาพนิ่ง 114 ส่วนวิดีโออยู่ที่ 98 คะแนน เรียกว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่ครองอันดับ 1 ด้านการถ่ายภาพที่ทิ้งอันดับสองแบบขาดลอย

ส่วนฟีเจอร์ที่น่าสนใจอื่นๆก็มี การเพิ่มประสิทธิภาพเลเซอร์ช่วยโฟกัส 1.2 เป็น 2.4 เมตรช่วยให้โฟกัสวัตถุที่อยู่ห่างออกไปได้แม่นยำขึ้น,ใครที่กลัวโฟกัสวัตถุที่เคลื่อนไหวพลาดก็มี 4D predictive Focus โฟกัสตามอัตโนมัติโดยการคาดเดาการเคลื่อนไหวของสิ่งที่เราต้องการถ่าย, ชัตเตอร์แลค 0 ช่วยให้ไม่พลาดช็อตที่ต้องการ, Ultra Snapshot เปิดกล้องจากล็อคหน้าจอใช้เวลาแค่ 0.3 วินาที, เซนเซอร์วัดอุณหภูมิสีจาก Leica ช่วยใ้ได้สีสันที่แม่นยำขึ้น รวมถึงโหมด Super Slowmotion 960fps

Huawei P20

3.More Intelligence

เรื่องที่หัวเว่ยเน้นมาตั้งแต่ Mate 10 ก็คือ การทำงานที่ฉลาดขึ้นด้วยการนำ AI เข้ามาช่วย หลักๆก็คือ AI ช่วยถ่ายภาพได้เหมือนมืออาชีพมากขึ้น โดย AI จะช่วยเลือกการตั้งค่าฉากหลังได้มากกว่า 500 แบบจาก 19 หมวดหมู่การถ่าย, ช่วยจัดองค์ประกอบภาพให้ถ่ายแล้วสวยงามขึ้น, โชว์เส้นบอกระนาบในกรณีที่ถือกล้องเอียงหรือช่วยจัดเฟรมเวลาถ่ายรูปหมู่

อีกหนึ่งจุดขายที่เพิ่มเข้ามาใหม่ก็คือ Huawei AIS (AI Image Stabilizer) ใช้ AI ช่วยกันภาพสั่นไหว ไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง ด้วยการใช้เทคโนโลยี Multiframe-stabilizer ผลที่ตามมาก็คือ Longer Exposure ช่วยให้เราเปิดหน้ากล้องเวลาถ่ายกลางคืนได้นานขึ้น

ส่วนชิปประมวลผลหลักนั้นก็จะเป็นชิป KIRIN 970 พร้อมความสามารถ AI ที่พัฒนาความไวในการตอบสนองของปัญญาประดิษฐ์ให้เร็วเร็วขึ้น 50% แถมทำงานลื่นขึ้น 50% เมื่อมารวมกับแบตเตอรี่ใหญ่ขึ้น ชิป 970 ใช้พลังานน้อย แล้วยังได้ AI มาช่วยบริหารการใช้งานแบต จึงทำให้ใช้งานได้นานขึ้น ไม่ต้องชาร์จบ่อยๆ เสริมด้วยเทคโนโลยี Super Charge ชาร์จเร็วกว่า iPhone X 300% นอกจากนั้นยังมี HiAI ecosystem ทำให้หลายแอปใช้ AI ประมวลผลเร็วขึ้น เช่น ยกกล้องขึ้นมาส่องของแล้วช็อปปิ้งผ่าน Amazon, ใช้ AI ลดเสียงรบกวนเวลาคุยมือถือ

หัวเว่ยเองได้จับมือกับ Google ในการร่วมพัฒนาซอฟท์แวร์และฮาร์ดแวร์ ผลที่ตามมาก็คือซีรีย์ P20 นี้เป็นมือถือกลุ่มแรกๆที่ได้ใช้ Android 8.1 และ NNAPI, ร่วมปรับแต่ง Google Assistant ให้เข้ากับ EUMI 8.1 เช่น เพิ่มคำสั่งเสียงสำหรับสั่งงานกล้องของหัวเว่ย, นำ AI มาเสริมการทำงานของ Android Message วิเคราะห์ประโยค ใส่เอฟเฟคสติกเกอร์ให้ รวมถึงการสนับสนุน ARCore สร้างประสบการณ์การใช้งานใหม่ๆผ่านเทคโนโลยี AR 

ข้ามมาดูความฉลาดของเรื่องระบบรักษาความปลอดภัยกันบ้าง โดย P20 นี้จะมาพร้อม Face Unlock แบบ 360 องศาเรียกว่ายกมือถือขึ้นมาส่องมุมไหนก็ปลเล็อคเครื่องได้สบายๆ แถมการปลดล็อคในที่มืดใช้เวลาแค่ 0.6 วินาที ถือว่าเร็วกว่าคู่แข่ง 100% นอกจากนั้นก็ยังมีฟีเจอร์ใหม่ๆอย่าง Huawei Share 2.0 แชร์ไฟล์ระหว่างมือถือ พีซี แมค BT+Wifi ด้วยความเร็วสูงสุดความเร็วสูงสุด 96 Mbps, แอป Huawei Health เพิ่มความสามารถวัดอัตราการเต้นของหัวใจ วัดการนอน ส่งไปเก็บบน Cloud, การใช้งาน PC Mode ต่อจอคอมกลายเป็นพีซีทันที

ในส่วนของความบันเทิงนั้นก็มาพร้อม Hi-Fi wireless รองรับไฟล์เพลงความละเอียดสูง 990kbps ใส่ระบบเสียง DOLBY ATMOS ให้เสียงแบบเดียวกับโรงหนัง การเชื่อมต่อนั้นมาพร้อม Dual Sim รองรับ 4G สองซิม รองรับเทคโนโลยี 4.5G LTE 4×4 MIMO ความเร็วในการดาวน์โหลด 1.2Gbps ใช้งานได้ทั่วโลก ส่วนอุปกรณ์เสริมก็จัดเต็ม เช่น หูฟังมาพร้อม Active  Noise canceling เลือกสถานการณ์ได้ 3 แบบ 3 แบบ , ไม้เซลฟี่พร้อมไฟ LED ในตัวรับรองหน้าใสกิ๊ง

ราคาขายและวันวางจำหน่าย

สนนราคา Huawei P20 มาพร้อมแรม 4GB, หน่วยความจำ 128GB ราคาอยู่ที่ 649 ยูโร หรือประมาณ 25,000 บาท เริ่มวางจำหน่าย 27 มีนาคมนี้ เป็นต้นไป ส่วนราคา Huawei P20 Pro รุ่นแรม 6GB, หน่วยความจำ 128GB ราคาอยู่ที่ 899 ยูโร หรือประมาณ 35,000 บาท เริ่มวางจำหน่าย 6 เมษายนนี้ เป็นต้นไป ส่วนจะนำมาขายในประเทศไทยช่วงไหนนั้นก็ต้องรอติดตามข่าวสารกันให้ดีๆค่ะ