เปิดตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้วกับ HUAWEI P40 Series 3 รุ่นพร้อมกันนั่นก็คือ HUAWEI P40, P40 Pro และ P40 Pro+ ชูจุดขายสเปคจัดเต็ม รองรับ 5G ทุกรุ่นและกล้องถ่ายรูปที่อัพเกรดขึ้นไปอีกขั้น
Huawei P40 Pro+
รุ่นนี้จะเป็นรุ่นพรีเมียม วัสดุตัวเครื่องเป็นนาโนเทคเซรามิก มีความแข็งแรนทนทานสูง ป้องกันการรอยขีดข่วนได้เป็นอย่างดี หน้าจอจะเป็นแบบ Quad-Curve Overflow Display จอโค้งทั้ง 4 ด้าน ส่งผลให้ลากนิ้วได้สบายขึ้น จับถนัดมือขึ้น
หน้าจอเป็น Flex OLED 6.58 นิ้ว ความละเอียด 2640×1200 ความหนาแน่นของพิกเซลอยู่ที่ 441 PPi ซึ่งจอจะมีรีเฟรชเรทอยู่ที่ 90 Hz สัดส่วนหน้าจออยู่ที่ 19.8:9 รองรับ DCI-P3 HDR ให้ความอิ่มของสีและคอนทราสที่สูงขึ้น พร้อมคุณสมบัติลดแสงสีฟ้าได้ 30%
ตัวเครื่องมีขอบบนและขอบล่างเล็กลง ขนาดกระทัดรัดกว่าเมื่อเทียบกับสมาร์ตโฟนแบรนด์อื่นๆที่มีขนาดจอเท่ากัน ใช้สแกนนิ้วแบบฝังใต้จอทำงานเร็วขึ้น 30% กล้องหน้าเป็นแบบเลนส์คู่ แบ่งเป็นกล้องหลักความละเอียด 32 ล้านพิกเซลและกล้องจับระยะ/จับ Gesture
ส่วนกล้องหลังให้มาทั้งหมด 5 ตัวแบ่งเป็น
- เลนส์ Ultra Wide Cine ความละเอียด 40 ล้านพิกเซล f/1.8
- เลนส์ Ultra Vision Wide ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล f/1.9 พร้อมระบบกันสั่น OIS
- เลนส์ Telephoto แบบ Periscope ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล f/4.4 ซูม optical สูงสุด 10 เท่า
- เลนส์ ToF วัดระยะความลึก ช่วยให้ถ่ายมีมิติยิ่งขึ้น
- เลนส์ Telephoto ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล f/2.4 ซูมออฟติคอลได้ 3 เท่า
ตัวเครื่องน้ำหนักเบาเพราะเซรามิกพร้อมเคลือบสารแบบใหม่ช่วยป้องกันรอยนิ้วมือแต่ให้ความแวววาวเมื่อสะท้อนแสง ส่วนแบตเตอรี่ให้มา 4,200 mAH พร้อมกันน้ำกันฝุ่น IP68 ตัวเครื่องมี 2 สีคือ Ceramic White และ Ceramic Black
HUAWEI P40 Pro
ตัวเครื่องมาพร้อมหน้าจอเหมือนกับ P40 Pro+ เป๊ะเลยค่ะ ต่างกันที่วัสดุของตัวเครื่องจะไม่ได้ใช้เซรามิกและกล้องหลังจะมีแค่ 4 ตัวเท่านั้นโดยจะแบ่งเป็น
- เลนส์ Ultra Wide Cine ความละเอียด 40 ล้านพิกเซล f/1.8
- เลนส์ Ultra Vision Wide ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล f/1.9 พร้อมระบบกันสั่น OIS
- เลนส์ Telephoto แบบPeriscope ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/3.4 ซูม optical ได้ 5 เท่า
- เลนส์ ToFวัดระยะความลึก ช่วยให้ถ่ายมีมิติยิ่งขึ้น
ส่วนสีเครื่องจะมีให้เลือกคือ Ice White/ Deep Sea Blue/ Black/ Silver Frost และ Blush Gold
HUAWEI P40
รุ่นนี้จะเป็นรุ่นเล็กสุด สิ่งที่แตกต่างก็คือหน้าจอมีขนาดเล็กว่า อยู่ที่ 6.1 นิ้ว ความละเอียด 1080 x 2340 ส่วนแบตเตอรี่ให้มาความจุ 3800mAh กล้องหน้าเป็นกล้องเลนส์คู่ ส่วนกล้องหลังจะมีทั้งหมด 3 ตัวคือ
- เลนส์ Telephoto ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล f/2.4 ซูมออฟติคอลได้ 3 เท่า
- เลนส์ Ultra Vision Wide ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล f/1.9 ใช้เซ็นเซอร์ RYYB
- เลนส์ Ultra Wide ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล f/2.2
ฟีเจอร์การถ่ายรูป
เริ่มจากเซ็นเซอร์กล้องที่นำมาใช้นั้นมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ส่งผลให้รับแสงได้มากขึ้นกว่ารุ่นเดิมถึง 40% ดัน ISO ได้สูงสุด 409,600 พร้อมระบบออโตโฟกัส Octa PD Autofocus ให้ค่าสีแม่นยำขึ้น 45% เพราะมีการใช้ AI มาช่วยวัดค่าอุณหภูมิสี
ทำงานฉลาดขึ้นด้วย XD Fusion Image Engine กดชัตเตอร์ครั้งเดียวแต่จะเก็บภาพหลายรูปมาซ้อนกัน ช่วยให้รวมเป็นภาพที่ดีที่สุด ซึ่งการซ้อนภาพจะมีประโยชน์เวลาที่เราแต่งภาพจะทำได้ง่ายขึ้นด้วย
การถ่ายภาพในที่มืดทำได้ดีขึ้นกว่าเดิมให้ภาพที่เป็นธรรมชาติ รายละเอียดคมชัด รองรับการถ่ายกลางคืนด้วยโหมด Long Exposure ส่วนการถ่าย Portrait ก็สมจริงยิ่งขึ้นในทุกรายละเอียด มาดูเรื่องของการซูมภาพก็ทำได้ดีกว่าเดิม เก็บรายละเอียดได้อย่างคมชัด
นอกจากนั้นยังมีการนำ AI มาช่วยให้ถ่ายภาพดีขึ้น ซึ่งมีโหมดน่าสนใจดังนี้
- Golden Snap ที่จะช่วยให้เราไม่พลาดวินาทีสำคัญๆ เพราะเขามีการพัฒนา AI ให้ทำงานได้เร็วขึ้นทั้งการวิเคราะห์ใบหน้าและท่าทาง
- AI Remove Passersby ตัดคนที่ไม่ต้องการในฉากหลังออก
- AI remove Reflection ตัดเงาสะท้อนของกระจก
มาดูเรื่องของการถ่ายวิดีโอกันบ้าง รุ่นนี้รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที ดัน ISO สูงสุดที่ 51200 มาพร้อมไมโครโฟน 3 ตัวเก็บเสียงจากรอบทิศทางและฟีเจอร์ Audio Zoom โดยจะซูมเสียงตามระยะกล้องเลยค่ะ
การถ่ายวิดีโอในที่มืดทำได้ดีขึ้นมีเทคโนโลยี Pixel Fusion รวม 16 พิกเซลเป็น 1 พิกเซล ทำให้มีแสงสว่างแค่ 0.5 Lux ก็สามารถถ่ายวิดีโอได้ ส่วนฟีเจอร์อื่นๆที่น่าสนใจก็มี Dual-View VDO ถ่ายวิดีโอโดยใช้เลนส์สองตัวพร้อมกัน โดยเราจะเก็บภาพจากเลนส์ซูมกับมุมกว้างพร้อมกัน
กล้องหน้า
กล้องหน้าเลนส์คู่ ประกอบด้วยกล้องหลัก 32 ล้านพิกเซล พร้อม AF ส่วนอีกกล้องจะใช้จับท่าทาง/จับความลึก รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K สั่งงานด้วยท่าทาง รวมถึงปลดล็อกด้วยใบหน้าซึ่งการปลดล็อกในที่มืดจะใช้อินฟราเรดช่วยให้ปลดล็อกได้
ประสิทธิภาพการทำงาน
Huawei P40 Series จะมาพร้อมชิป KIRIN 990 5G รองรับการใช้งาน 5G ทุกรุ่น ส่วนประสิทธิภาพการประมวลผล กราฟิกและการประหยัดพลังงานทำได้ดีขึ้นกว่าเดิม
ตัวสล็อตใส่ซิมนั้นจะเป็นแบบ Dual Sim Slot แถมยังรองรับ eSIM ด้วย โดยจะรองรับ 5G ทั้ง 2 ช่อง อีกช่องเลือกใส่ได้ว่าจะเป็น NM Card หรือ Nano SIm2 ในกรณที่ซืมแรกเป็น 5G ซิมที่สองจะสลับไปใช้ 4G ให้อัตโนมัติ
การเชื่อมต่อมาพร้อม Wi-Fi 6 Plus รองรับการชาร์จไว SuperCharge 40W
ระบบปฏิบัติการ EMUI 10.1
- เพิ่ม Huawei Theme
- 3D Render Always On Display ทำให้หน้าจอดูมีมิติยิ่งขึ้น
- การเคลี่อนไหวเวลาที่เราปัดหน้าจอดูเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น
- รองรับการทำงานแบบ Multi-Window เปิดทำงาน 2 แอปพร้อมๆกัน แถมยังลากรับส่งไฟล์ข้ามแอปได้ด้วย
- เพิ่ม Multi Device Control Panel สำหรับควบคุมอุปกรณ์อื่นๆได้สะดวกขึ้น
- Huawei Share เพิ่มความสะดวกขึ้น ทั้งในเรื่องของการโอนรูปภาพ ไฟล์ เพลง
- Cross Device Photo Gallery สำหรับดูคลังแกลอรีภาพข้ามอุปกรณ์
MeeTime บริการ VDO Phone call ความละเอียดสูง รองรับการใช้งานบนแบนด์อื่นๆ แถมแชร์หน้าจอได้
ราคาขายและวันวางจำหน่าย
- P40RAM 8GB ความจุ 128 GBราคาอยู่ที่ 799 ยูโรประมาณ 28,600 บาท
- P40 Pro RAM 8GB ความจุ 256 GBราคาอยู่ที่ 999 ยูโรประมาณ 35,700 บาท
- P40 Pro+ RAM 8GB ความจุ 512 GB ราคาอยู่ที่ 1399 ยูโรประมาณ 50,100 บาท เริ่มวางจำหน่ายเดือนมิถุนายน