ไหนใครใช้ Netflix อยู่บ้าง ช่วงนี้ได้เข้าไปหาอะไรดูกันบ้างหรือเปล่า เชื่อว่าหลายคนคงอาจจะห่างหายจากการใช้ไป หรืออาจจะรู้สึกเบื่อหน่ายกับการเลื่อนหาอะไรดู ด้วยพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปแบบนี้ทำให้ทาง Netflix ได้มีประกาศออกมาว่าจำนวนผู้ติดตามได้หายไปกว่า 970,000 คนเลยทีเดียว พูดกันก็คือเกือบล้านคนในไตรมาสที่ผ่านมา คราวนี้เราลองมาวิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้ Netflix ได้รับความนิยมน้อยลงกันดีกว่า 

ในครึ่งปีแรก ผู้ติดตามของเน็ตฟลิกซ์ได้หายไปกว่า 1.2 ล้านบัญชีทั่วโลก ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของ streaming service อันดับหนึ่งของโลก แต่รู้หรือไม่ว่าทางเน็ตฟลิกซ์ไม่ได้ประหลาดใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขนาดนั้น เพราะทางเขาเองก็ได้คาดการณ์ตัวเลขไว้ที่ 2 ล้าน ทำให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น่าเซอร์ไพรส์ขนาดนั้น ทีนี้เราลองมาวิเคราะห์แบบคร่าว ๆ กันว่า อะไรคือสาเหตุของเหตุการณ์เหล่านี้ วันนี้ทาง DailyGizmo ได้ยกมา 6 เหตุผลที่น่าสนใจ ไปดูกันว่าจะมีอะไรบ้าง และเราเองได้มีความคิดเหมือนกันกับเหตุผลเหล่านี้หรือเปล่า ไปฟังพร้อมกันค่ะ

1. ผลจากสงครามรัสเซีย ยูเครน 

เมื่อทางเน็ตฟลิกซ์งดให้บริการที่ประเทศรัสเซียทำให้มีผู้ติดตามหรือบัญชีที่หายไปราว 700,000 กว่าบัญชี ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากทั้งหมดก็ประมาณ และผลกระทบที่ตามมาจากสงครามทำให้สภาวะเศรษฐกิจในยูเครนเองก็ถดถอยลง เป็นผลให้หลายบ้านในยูเครนก็เลือกที่จะปิดบัญชีจากเน็ตฟลิกซ์ไปด้วย 

2. ขึ้นราคาในการใช้บริการ 

ในปีนี้ เน็ตฟลิกซ์ ได้มีการวางแผนขึ้นอัตราค่าบริการ โดยเริ่มแล้วที่ประเทศแคนาดาและสหรัฐอเมริกา เนื่องด้วยต้นทุนที่สูงขึ้นจากสภาวะเศรษฐกิจ ยังเป็นผลให้ผู้ใช้งานลดลงไปกว่า 600,000 คน หลังจากที่ราคาขึ้น 

3. การแชร์บัญชีทำให้เติบโตช้าลง

จากข่าวที่แล้วทางเพจ Ceemeagain ได้มีการพูดถึงข่าวเน็ตฟลิกซ์ได้ยกเลิกการหารบัญชีลง เนื่องจากการแชร์บัญชีกันทำให้บริษัทเติบโตช้าลง แม้ว่าข้อกำหนดจากทางเน็ตฟลิกซ์เองจะห้ามไว้ สังเกตได้จากการใช้งานบัญชีโดยไม่มีการจ่ายเงินในอุปกรณ์นั้น ๆ 

4. สูญเสีย Content Provider

เมื่อก่อนทางเน็ตฟลิกซ์มีคอนเทนต์ที่ซื้อมาจากสถานีโทรทัศน์รายใหญ่ในสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็น NBC, CBS หรือ AMC แต่เมื่อหมดสัญญาไม่สามารถดึงพันธมิตรเหล่านี้ไว้ได้ แถมยังเสียไปให้คู่แข่ง นั่นจึงทำให้เนื้อหาที่น่าสนใจบน เน็ตฟลิกซ์เอง มีจำนวนเให้รับชมน้อยกว่าเดิมค่อนข้างมาก 

5. คุณภาพเนื้อหาที่ยังไม่โดนใจ

ถ้าหากเราพิจารณาดี ๆ จะเห็นว่าทางเน็ตฟลิกซ์มักจะให้ความสำคัญกับคุณภาพของสื่อที่ปล่อยออกมา อย่างเช่น Stranger Things ซึ่งมีผู้ชม 1.3 พันล้านชั่วโมงในช่วงสี่สัปดาห์แรก หลังจากการเปิดตัวของซีซันที่สี่ เรียกว่าคอนเทนท์ที่ผลิตเองเป็นแม่เหล้กดึงคนดูได้เป็นอย่างดี แต่กลับกันถ้ามองรายการและภาพยนตร์อื่น ๆ นั้นไม่เป็นที่น่าสนใจของคนดูขนาดนั้น จนทำให้หลากคนเลิกบอกรับสมาชิก เป็นที่ชัดเจนว่าบริษัทกำลังลงทุนในปริมาณมากกว่าคุณภาพของเนื้อหานั่นเอง 

6. คู่แข่งที่เพิ่มขึ้น 

จะเห็นได้ว่าในช่วงปีหลัง นี้ มีคู่แข่งที่เปิดให้บริการ  streaming service ค่อนข้างมาก เช่น HBO Max, Amazon Prime Video, Peacock, Paramount+, Disney+, Apple TV+ และ Viu ซึ่งทำให้ผู้ใช้บริการมีตัวเลือกที่มากขึ้นทั้งในเรื่องของราคา คุณภาพ และการให้บริการ 

เหตุการณ์นี้อาจเป็นเรื่องที่กล้ำกลืนสำหรับ Netflix พอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องมานานกว่าทศวรรษ เราต้องยอมรับว่าสถานการณ์หลายอย่างเป็นผลทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดในฐานะผู้บริโภคต้องตัดสินใจว่าเราต้องการสมัครรับข้อมูลบนแพลตฟอร์มไหนและควรละทิ้งแพลตฟอร์มใดด้วยตัวเลือกมากมายในปัจจุบัน และเน็ตฟลิกจะทำอย่างไรให้ผู้คนกลับมาใช้บริการในแพลตฟอร์มตัวเองอีกครั้ง ติดตามและอัปเดตข้อมูลข่าวสารวงการไอทีได้ที่เพจ Ceemeagin และ DailyGizmo นะคะ

ที่มาข้อมูล : makeuseof 

เครดิตภาพประกอบ : manhhai หรือลิ้งค์ https://www.flickr.com/photos/13476480@N07/52004302625