ใครที่พลาดดู Keynote งาน Google I/O 2017 ไม่ต้องค่ะ ซีรวมไฮไลต์เด่นๆที่น่าสนใจมาให้แล้ว ต้องบอกว่าพระเอกของปีนี้ก็คงหนึไม่พ้น AI หรือปัญญาประดิษฐ์นั่นเอง

Google I/O 2017

ปีนี้มีคนร่วมงานมากกว่า 7,000 คน เปิดงานด้วย Sundar Pichai ผู้บริหารของ google ขึ้นเวทีเป็นคนแรก โชวืวิสัยทัศนืและทิสทางของวงการไอทีในอนาคต ว่าตอนนี้กำลังเปลี่ยนจากยุค Mobile first ที่มือถือเป็นทุกอย่าง มาสู่ยุค AI first นำปัญญาประดิษฐ์มาช่วยแก้ปัญหาต่างๆให้ชีวิตเราสะดวกขึ้น หลายๆบริการต่างๆของกูเกิล ได้นำ machine learning มาใส่ ไม่ว่าจะเป็น Allo, Duo, YouTube ที่นำมาใช้กับระบบแนะนำ, AdBrain, Photo เป็นต้น

ส่วนอินเตอร์เฟซการสั่งงานก็จะก้าวไปสู่การใช้เสียงพูด (Voice) และ การมองเห็น (vision) มาสั่งงานคอมพิวเตอร์ที่จะมาแทนการสั่งงานด้วยคีย์บอร์ดและเม้าส์ ซึ่งจะลงไปอยู่ในบริการต่างของกูเกิล ส่วนความแม่นยำต้องบอกว่าเค้าพัฒนาเทคโนโลยี Speech recognition มาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้เอไอฟังพลาดเหลือแค่ 4.9% เท่านั้น ส่วนบริการใหม่ที่เราจะได้ใช้ในปีนี้ก็มี

Google Lens

อันนี้คล้ายๆ Google Goggles มาเกิดในร่างใหม่ ซึ่งเค้านำ AI ร่วมกับ Image recognition มาช่วยประมวลผลสิ่งที่เรามองเห็น เพียงแค่ยกกล้องขึ้นมาส่องเพื่อหาข้อมูล ถ่ายรูปเพื่อให้ Google Assistant มาช่วยหาข้อมูลให้ อย่างร้านอาหารต่างๆ หรือแม้แต่ส่องบาร์โค้ดของ Wi-Fi ก็จะเชื่อมต่อให้ทันทีโดยที่เราไม่จำเป็นต้องพิมพ์ชื้อผู้ใช้และรหัสผ่าน เรียกว่าสะดวกสุดๆ

Google Cloud

เพื่อรองรับความต้องการใช้งาน กูเกิลตัดสินใจสร้าง AI data center แห่งแรก

Google Assistant

Google Assistant

หลังจากที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปีที่แล้ว เพื่อช่วยให้เราถามและค้นหาข้อมูลได้ง่ายขึ้นผ่านการสนทนา มาปีนี้ก็มีการอัพเดทความสามารถขึ้นมาอีกหลายอย่าง เช่น สร้างตารางปฏิทินนัดหมายแล้วเตือนความจำให้เราได้รองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Smart Home อีกมากกว่า 70 แบรนด์พันธมิตร เช่นAugust locks, TP-Link, Honeywell, Logitech และ LG

ที่มาตามข่าวลือเป๊ะๆ ก็คือ Google Assistant บนไอโฟน ใช้งานบน iOS 9.1 ขึ้นไป พร้อมปล่อย SDK ให้นักพัฒนาเอาไปใส่เพื่อเชื่อมต่อแอปหรืออุปกรณ์ของตัวเอง นอกจากนั้นภายในสิ้นปีนี้จะรองรับภาษาใหม่อย่างฝรั่งเศส, เยอรมัน, ญี่ปุ่น, เยอรมัน เป็นต้น

Google Home

มาดูในส่วนของลำโพงอัจฉริยะ ก็เพิ่มความสามารถใหม่ๆและประกาศวางขายเพิ่มในอีก 6 ประเทศ ฟีเจอร์เด่นๆที่มาใหม่ก็มี

  • Handfree-calling สั่งโทรออก เข้าเบอร์บ้านหรือโทรเข้ามือถือในอเมริกาและแคนาดาฟรี จุดเด่นคือแยกแยะเสียงแต่ละคนในบ้านได้ ซึ่งมันจะรู้ว่าแต่ละคนมีเบอร์ติดต่ออะไรบ้าง
  • ส่วนเรื่องความบันเทิง ตอนนี้ก็อัพเดทให้ฟังเพลงฟรีผ่าน Spotify รวมถึงเพิ่มพันธมิตรใหม่ส่งคอนเท้นท์ต่างๆไปเล่นบนทีวี
  • จากเดิมที่มันจะโต้ตอบข้อมูลกลับมาเป็นเสียงเท่านั้น ต่อไปจะแสดงภาพให้เราเห็นด้วยฟีเจอร์ Visual response เชื่อมต่อการทำงานกับทีวีผ่าน Chromecast ส่งคำตอบไปแสดงบนจอทีวี เช่น แสดงปฏิทินหรือสั่งเล่นคลิปยูทูป

Google Photos

ในส่วนของ Photos นั้น กูเกิลตั้งใจที่จะทำให้ที่นี่เป็นศูนย์รวมของภาพและคลิปต่างๆที่คุณถ่ายมา โดยใช้ AI มาช่วยแบ่งแยกคน,วัตถุ,สถานที่หรือเหตุการณ์ในภาพได้ ซึ่งปีนี้ก็มีฟีเจอร์เด่นๆ 3 อย่างคือ

  • Suggested sharing บางครั้งเราก็ถ่ายรูปเอาไว้เยอะมาก ตั้งใจที่จะแชร์แต่ก็เผลอลืมทุกที ฟีเจอร์นี้จะให้ AI มาแนะนำรูปที่ควรแชร์ให้ โดยศึกษาดูจากพฤติกรรมการแชร์ที่ผ่านๆมา พร้อมแนะนำให้อีกว่าควรจะส่งให้ใครดู เราสามารถรีวิวรูปที่จะแชร์ได้ก่อน แก้ไขว่าจะส่งให้ใครบ้าง จากนั้นก็กดส่งได้ทันที ถ้าเพื่อนคนไหนไม่มีแอปก็จะส่งข้อความหรืออีเมลไปให้แทน
  • Shared libraries ฟีเจอร์นี้สำหรับแชร์รูปกับคนพิเศษ เลือกแชร์ทั้งอัลบั้มหรือเป็นซับเซ็ตของรูปก็ได้ เช่น ตามวันเวลาหรือสถานที่ ฉล่ดมั้ยล่ะ
  • Photo Books สั่งพิมพ์หนังสือภาพส่วนตัวจากรูปใน Photos ได้ทันที เพียงแค่พิมพ์ชื่อคนที่อยากที่หนังสือให้ กดเลือกภาพเท่านั้นเองใช้งานได้ในอเมริกาที่แรก ก่อนจะขยายไปประเทศอื่นๆเพิ่มเติม
  • เตรียมเพิ่มปุ่ม Google Lenss ช่วยค้นหาข้อมูลจากรูปถ่ายหรือ Screenshot หน้าจอได้

 

Android O

ตอนนี้ต้องบอกว่าผู้ใช้แอนดรอยด์ทั่วโลกทะลุ 2000 ล้านคนแล้วกลายเป็นระบบปฏิบัติการที่มีคนใช้งานมากที่สุดในโลก แถมยังแบ่งร่างไปอยู่ในอุปกรณ์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นมือถือ นาฬิกา ทีวี รถยนต์ รวมถึงเครื่องใช้ต่างๆ ซึ่งระบบปฏฺบัติการเวอร์ชั่นใหม่หรือ Android O นั้นจะเน้นอยู่สองด้านหลักๆ คือ

1.Fluid Experience เพื่อการใช้งานที่ไหลลื่น ช่วยให้คุณทำอะไรได้มากขึ้น ฟีเจอร์เด่นๆในหมวดนี้ก็มี

  • Picture-in-Picture เพิ่มหน้าต่างวิดีโอลอยขึ้นมา ช่วยให้คุณเปิดดูคลิปหรือทำวิดีโอคอล พร้อมกับใช้งานแอปอื่นๆได้ในเวลาเดียวกันโดยไม่สะดุด
  • Notification Dots เมื่อเรากดหนักๆที่ไอคอนแอปก็จะเรียกดูการแจ้งเตือนของแอปนั้นๆได้
  • Autofill ช่วยกรอกข้อมูลที่กรอกบ่อยๆให้อัตโนมัติ แถมตอนนี้ใช้งานกับแอปได้แล้ว
  • Smart Text Selection ช่วยให้เราก็อปปี้และวางข้อความได้ง่ายขึ้น

2.Vitals จะเน้นเรื่องภาพรวมสำคัญๆของการใช้งาน เช่น การรักษาความปลอดภัยที่มีการเพิ่ม Google Play Protect ใช้ AI มาช่วยสแกนแอป บอกได้ว่าแอปไหนอันตรายได้ แถมยังลบทิ้งให้อัตโนมัติด้วย, เพิ่ม OS Optimization ช่วยให้จัดการทำงานต่างๆของเครื่อง รวมถึงบริหารจัดการแบตเตอรี่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในส่วนของนักพัฒนา Developer Tool เพิ่มทางเลือก ด้วยการเพิ่มภาษาใหม่ kotlin ในการเขียนแปต่างๆ

Android Go

ในส่วนของมือถือนั้นก็มีการเปิดตัวหนึ่งอย่างที่น่าสนใจ ก็คือ Android Go ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์สำหรับมือถือรุ่นราคาประหยัด เหมาะกับคนเพิ่งเริ่มหัดใช้ เน้นราคาเอื้อมถึง สเปคไม่แรงมาก ซึ่งมันก็คือระบบปฏิบัติการ Android O ที่ผ่านการปรับแต่งมาแล้วให้เข้ากับสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ที่เครื่องไม่แรง ส่วนฟีเจอร์ต่างๆออกแบบมาสำหรับคนที่อยู่ในพื้นที่ที่เครือข่ายมือถือยังไม่เสถียรอย่างอินเดีย และ จำเป็นต้องสื่อสารหลายภาษา

แอปและฟีเจอร์ต่างๆจะถูกลดทอนลงไปให้เบาขึ้น ใช้ดาต้าน้อยลงเพื่อให้ลื่นไหนในการใช้งาน เช่น บราวเซอร์ Chrome จะมีโหมด Data Saver ช่วยให้โหลดข้อมูลเร็วขึ้น หรือ แอป Youtube Go เซฟดูแบบไม่ต่อเน็ตได้ คาดมือถือรุ่นนี้จะวางขายจริงช่วงต้นปี 2018

VR/AR

เริ่มจากเทคโนโลยี VR กูเกิลเปิดตัวโปรเจค Daydream ไปตั้งแต่ปีก่อน ตอนนี้มือถือที่ใช้งานได้ก็จะมี LG รุ่นใหม่จะเป็นมือถือตัวแรกที่สนับสนุน DayDream ต่อมาก็คือ Galaxy S8 และ S8 Plus ในปีนี้เราจะได้เห็นแว่นตาแบบสแตนอโลนไม่ต้องต่อทั้งมือถือและคอมพิวเตอร์ นั้นทำให้เราเข้าสู่โลกเสมือนจริงได้ง่ายขึ้น โดยร่วมพัฒนากับ Qualcomm ตัวแว่นจะมาพร้อมกับเทคโนโลยีจับการเคลื่อนไหวชื่อว่า WorldSense จึงทำให้เราไม่ต้องพึ่งพาเซนเซอร์ภายนอกเลยค่ะ คาดว่ารุ่นแรกเตรียมออกวางขายในปีนี้

ข้ามมาดูส่วนของ AR ก็มีโปรเจค Tango ที่พัฒนามาหลายปีเป็นตัวชูโรง มัสามารถเข้าใจการเคลื่อนไหว ตำแหน่งและระยะห่างในโลกแห่งความจริงได้ จากนั้นจะนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในโลกเสมือนจริง ส่วนการนำมาใช้กับ AR นั้นจะช่วยให้เราสร้างวัตถุเสมอืนจริงซ้อนทับกับโลกแห่งความจริง ซึ่งสมาร์ทดฟนรุ่นต่อไปที่จะวางขายคือ ASUS ZenFone AR

อีกหนึ่งการนำไปใช้ที่น่าสนใจก็คือ Visual Positioning Service (VPS) ที่ช่วยให้มือถือเข้าใจสิ่งที่อยู่ในอาคารได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ เอามาประยุกค์ใช้ได้เหมือน becon พาเราไปหาสิ่งของที่ต้องการได้ ซึ่งตอนนี้ได้นำไปทดลองใช้กับพิพิธภัณฑ์และร้าน Lowe บางสาขาอยู่ นอกจากนั้นยังมีการนำไปใช้ในห้องเรียนผ่านโครงการ Pioneer Program ให้เด้กๆได้เรียรู้เรื่องต่างๆตั้งแต่รูปปั้นเดวิด, พันธุกรรม, เฮอริเคนโดยที่ไม่ต้องออกไปจากห้องเรียนเลยค่ะ