กรมศุลกากรจับมือ IBM ปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล นำเทคโนโลยีบล็อคเชน เสริมศักยภาพการค้าระหว่างประเทศในส่วนของการขนส่งสินค้าทางทะเลให้สะดวกและรวดเร็วขึ้น
IBM จัดงาน Think Thailand เป็นครั้งแรกในไทย โชว์เทคโนโลยีแบบจัดเต็มที่นำมาใช้งานได้จริง ไม่ว่าจะเป็น AI, Cloud, Blockchain, Quantum Computing และอีกมากมาย หนึ่งไฮไลต์ในงานก็คือการประกาศความร่วมมือระหว่างกรมศุลการจับมือ IBM และ Maersk นำบล็อคเชน เสริมศักยภาพการค้าระหว่างประเทศของการขนส่งทางเรือ ทำให้กรมศุลกากรเป็นหน่วยงานราชการประเทศที่สองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศที่สามในเอเชียแปซิฟิกที่นำเทคโนโลยีนี้มาใช้
ปัญหาของการศุลกากร
ในแต่ละปีนั้นมีสินค้ามูลค่ามากกว่า 4 แสนล้านบาทขนส่งระหว่างประเทศ โดย 80% นั้นจะใช้วิธีส่งทางทะเลหรือเรือเดินสมุทร ปัญหาที่เจอเป็นประจำก็คือ กระบวนการนำเข้าสินค้าทางเรือนั้นค่อนข้างกินเวลานาน ต้องผ่านกระบวนการถึง 7 จุดก่อนสินค้าจะถึงมือผู้รับ เริ่มตั้งแต่ผู้ส่งออก การขนส่งไปยังเรือ การผ่านศุลกากรเพื่อนำสินค้าลงเรือ การนำลองลงเรือ เมื่อไปถึงปลายทางก็ต้องมีการตรวจสอบสินค้าก่อนนำขึ้นฝั่ง จากนั้นถึงจะส่งถึงมือผู้ซื้อ
ซึ่งแต่ละจุดเองต่างก็มีขั้นตอนทางเอกสารต่างๆที่ยุ่งยาก แน่นอนว่ากระบวนการส่วนใหญ่นั้นจะใช้คนทั้งการกรอกเอกสารและคนตรวจเช็ค ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ง่าย ผลการสำรวจพบว่าสินค้ากว่า 90% นั้นจะต้องใช้เอกสารถึง 200 ชุด ต้องใช้คนเข้ามาเกี่ยวข้องถึง 300 คน ถือว่าเป็นกระบวนการที่ยุ่งยากและกินเวลามาก
ทาง IBM และ Maersk บริษัทโลจิสติกส์รายใหญ่จึงร่วมกันพัฒนา TradeLens แพลตฟอร์มดิจิทัลที่ใช้ในการค้าระหว่างประเทศ ทำให้ระบบขนส่งมีความแม่นยำมากขึ้น ที่ต้องการเปลี่ยนระบบเอกสารที่ยุ่งยากให้เป็นระบบดิจิทัล ทำให้การขนส่งมีความถูกต้องแม่นยำและรวดเร็วขึ้นกว่าเดิม แถมยังตั้งได้ว่าจะให้ฝ่ายไหนเข้าถึงข้อมูลส่วนไหนได้บ้าง
เพิ่มศักยภาพประเทศไทย พัฒนาการค้าระหว่างประเทศ
TradeLens จะใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนมาช่วย โดยข้อดีของบล็อกเชนก็คือ ความโปร่งใส, ความน่าเชื่อถือและการทำงานร่วมกันหลายฝ่ายได้ มีการแชร์ช้อมูลแบบเกือบจะ Real-time ระหว่างสมาชิกที่อยู่ในเครือข่าย จากเดิมที่ทางบริษัทจะส่งเอกสารให้กับศุลกากรล่วงหน้า 48 ชั่วโมงก่อนเทียบท่า
พอนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้เชื่อมโยงเอกสารเข้าด้วยกัน เมื่อเรือออกจากต้นทางนั้นทางศุลการกจะได้ข้อมูลการส่งสินค้าทันที รู้ก่อนเรือเข้าเทียบท่าซะอีก ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถวางแผนการตรวจสอบสินค้าที่จะส่งมาได้ทันที
ไม่ว่าจะเป็นตรวจสอบสินค้าผิดกฎหมายหรือสินค้าเลี่ยงภาษีมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การจัดเก็บรายได้เข้ารัฐเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้นเพราะทางผู้นำเข้าไม่สามารถสำแดงเอกสารเท็จ ปรับราคาสินค้าให้ถูกกว่าความเป็นจริงเพื่อจะเสียภาษีให้ถูกลง รวมถึงการเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมต่างๆมีความโปร่งใสตรวจสอบได้
ทางกรมศุลกากรสามารถเพิ่มประสิทธิภาพด้านการบริหารความเสี่ยงในการควบคุมทางศุลกากร ลดระยะเวลาและขั้นตอนในการผ่านพิธีศุลการกรได้เร็วขึ้น ลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ สร้างความโปร่งใสและความพึงพอใจต่อผู้ใช้บริการ ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธกิจหลักของไทยแลนด์ 4.0 ในหัวข้อ Ease of Doing business เพื่อดึงดูดต่างชาติให้ทำการค้ากับไทยง่ายขึ้น
ตอนนี้ทางกรมศุลการกรได้ทำระบบไปทดสอบที่ท่าเรือแหลมฉบัง คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 3 เดือน หลังจากนั้นจะนำมาใช้กับท่าเรือกรุงเทพ ส่วนผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ การนำเทคโนโลยีมาใช้จะช่วยทำให้ GDP ของประเทศโตขึ้น 5% เนื่องจากกระบวนการต่างๆง่ายขึ้น ค่าใช้จ่ายต่างๆลดลง ทำให้การออกของต่างๆจากศุลกากรทำได้มากขึ้น 15% ซึ่งก็หมายถึงรายได้จากการจัดเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง นอกจากนั้นในอนาคตระบบ TradeLens จะสามารถเชื่อมต่อกับบล็อกเชนอื่นๆ เช่น การขนส่ง, ประกัน รวมถึงหนังสือค้ำประกัน (Bank guarantee) ด้วย