หลังจากที่รัฐบาลจีนได้ทำการแบนคริปโตรวมไปถึงการทำเหมืองขุดคริปโตในเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมาทำให้เหล่าชาวเหมืองต้องทำการอพยพออกจากจีนอย่างไม่มีทางเลือก และนั่นทำให้การขุดคริปโตที่ใช้พลังประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์หรือเครื่องขุดเหรียญคริปโตซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีส่วนทำให้โลกร้อนยิ่งกลายเป็นจำเลยหนักขึ้น
ทั้งนี้ก่อนหน้าการแบนคริปโตในจีน กำลังการขุด Bitcoin ประมาณ 42% ในเครือข่ายนั้นได้เริ่มเปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียนเช่น พลังน้ำ พลังงานแสงทิตย์ แต่ก็กลายเป็นว่าการทำเหมืองที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็นในจีนกลับส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบไฟฟ้าในประเทศจีน โดยก่อนหน้าการแบนคริปโตเราจะได้ยินข่าวการขาดแคลนไฟฟ้าอย่างหนักในประเทศจีนซึ่งแน่นอนว่าสาเหตุหลักหนึ่งก็มาจากการเกิดขึ้นของเหมืองขุดคริปโตที่แม้แต่หน่วยงานรัฐวิสาหกิจบางแห่งของจีนก็ยังทำเหมืองคริปโต จนทำให้ทางรัฐบาลกลางต้องออกมาสั่งห้ามการทำเหมืองในประเทศอย่างเด็ดขาด
ก่อนหน้านี้ในปี 2019 ได้มีการประเมินว่า 3 ใน 4 ของพลังงานไฟฟ้าที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ในประเทศจีนนั้นใช้ไปกับการขุด Bitcoin เพราะด้วยต้นทุนค่าไฟที่ถูกโดยเฉพาะในฤดูของบางพื้นที่อย่างเช่น มณฑลที่ส่วนใหญ่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากเขื่อนรวมกับต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินทำให้ค่าไฟฟ้าถูกมากจนทำให้การขุด Bitcoin สามารถสร้างกำไรได้อย่างมหาศาล จนทำให้ในปี 2020 กำลังขุดคริปโตในทุก ๆ เหรียญทั่วโลกกว่า 65% นั้นมาจากจีน
แต่หลังจากการแบนและกวาดล้างครั้งใหญ่ เหล่าผู้ประกอบการเหมืองขุดคริปโตไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำการย้ายเหมืองออกนอกประเทศไปสู่ประเทศใหม่ที่จะใช้เป็นฐานการในการทำเหมืองต่อไป ซึ่งแน่นอนว่าก็ไม่ต่างกับการไปลงทุนเปิดโรงงานที่ใหม่ซึ่งต้องพิจารณาถึงต้นทุนในการตั้งโรงงานเพื่อให้ต้นทุนการผลิตต่ำที่สุดและการทำเหมืองคริปโตนั้นค่าไฟฟ้าคือปัจจัยหลักในการเลือกทำเลที่ตั้งเพื่อทำเหมือง
แต่การไปหาที่ตั้งใหม่ที่ต้นทุนต่ำเหมือนในจีนนั้นหายากหรือหาได้ก็ไม่ใช่ไฟฟ้าที่ผลิตขึ้นด้วยพลังงานหมุนเวียนแน่นอน นั่นทำให้ผลการวิจัยเรื่อง Bitcoin Carbon Footprint ฉบับล่าสุดนั้นระบุว่าปัจจุบันกำลังขุดในเครือข่ายของ Bitcoin ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนนั้นมีสัดส่วนลดลงเหลือเพียง 25% เท่านั้น และนั่นยิ่งทำให้ Bitcoin ยากที่จะหลุดจากข้อกล่าวหาที่ว่าเป็นตัวเร่งให้เกิดภาวะโลกร้อน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าการขุด Bitcoin เป็นสาเหตุของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศกว่าปีละ 65 ล้านตันเลยทีเดียว
สำหรับคนที่ยังไม่รู้ว่าการทำเหมืองหรือการขุดคริปโตคืออะไร การขุดคริปโตก็คือการใช้พลังประมวลผลของคอมพิวเตอร์มาทำการเข้ารหัสข้อมูลและยืนยันการทำธุรกรรมในโครงข่ายของสกุลเงินดิจิทัลหลาย ๆ สกุล ที่ใช้หลักการทำงานของ Blockchain ซึ่งใช้ Consensus Protocol ตัวที่เรียกกว่า POW (Proof of work) และ Bitcoin ก็คือหนึ่งนั้น ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีที่ทำให้เราสามารถได้มาซึ่งคริปโตเคอเรนซี่นอกจากการเทรดในกระดานซื้อ-ขาย
**********************************************************************************************************************************************
Bitcoin และคริปโตเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุของปัญหาโลกร้อนหรือไม่คงไม่มีใครฟันธงลงไปได้ แต่ที่เห็นแน่ ๆ คือมันได้ทำให้เกิดความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นทั่วโลกอย่างแน่นอน และพลังงานหมุนเวียนก็ไม่สามารถรองรับความต้องการที่พุ่งสูงขึ้นสำหรับการขุดคริปโตได้ เหล่าผู้พัฒนาเทคโนโลยี Blockchain เองก็ตระหนักถึงปัญหานี้และก็มีความพยายามในการคิด Consensus Protocol ตัวอื่นที่ลดการใช้พลังงาน ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่มีแนวทางแก้ปัญหาการใช้พลังงานนี้ได้
อ้างอิง:
https://interestingengineering.com/china-bitcoin-worse-environment
https://www.cell.com/joule/fulltext/S2542-4351(22)00086-1
https://nuuneoi.com/blog/blog.php?read_id=933