SoftBank ได้เสียบอร์ดบริหารมือดีอย่าง Jack Ma ผู้ก่อตั้งบริษัท Alibaba หลังจากร่วมงานกันมานานกว่า 13 ปี นอกจากนั้นทางบริษัทยังเผชิญภาวะขาดทุนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์

Softbank บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของญี่ปุ่นกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตอย่างหนัก ล่าสุดรายงานผลประกอบการของ SoftBank สิ้นสุดมีนาคม 2020 พบว่าขาดทุนหนักถึง 12,700 ล้านดอลลาร์ เรียกว่าเป็นตัวเลขที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่เปิดกิจการมา

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ทาง SoftBank ได้ประกาศว่า Jack Ma หนึ่งในบอร์ดบริหารได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง หลังจากอยู่มานานเกือบ 13 ปีโดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 25 พฤาภาคมเป็นต้นไป ถือเป็นบอร์ดคนล่าสุดที่ลาออกจากตำแหน่ง หลังจากที่ Tadashi Yanai ผู้ก่อตั้ง Uniqlo ได้ลาออกบอร์ดบริหารของ Softbank เมื่อปลายปีที่แล้ว
การที่แจ็ค หม่าลาออกถือเป็นข่าวใหญ่ เพราะเขามีความสัมพันธ์อันดีกับ Masayoshi Son ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารของ Softbank ซึ่งเคยลงทุน 20 ล้านดอลลาร์กับบริษัทอาลีบาบาเมื่อปี 2000 ผลตอบแทนของเงินที่ลงทุนไปนั้นตอนนี้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 60,000 ล้านดอลลาร์หลังจากที่อาลีบาบาเข้าตลาดหุ้นในปี 2014
หนึ่งในสาเหตุหลักของการขาดทุนก็คือ Vision Fund หรือเม็ดเงินลงทุนกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ที่ทาง Softbank นำไปลงทุนในบริษัทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Uber, WeWork และบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆซึ่งต่างก็ได้ผลกระทบจากวิกฤต COVID-19 อย่างถ้วนหน้า  ส่งผลให้ปีที่ผ่านมาทาง SoftBank ขาดทุนถึง 17,700 ล้านดอลลาร์

Masayoshi Son

ในส่วนของ Vision Fund ที่มีการลงทุนใน 88 บริษัทนั้น ก็มีการคาดการณ์ว่าจะมี 15 บริษัทอาจจะล้มละลาย, มี 15 บริษัทที่จะสามารถผ่านพ้นวิกฤตและประสบความสำเร็จได้ ส่วนบริษัทที่เหลือนั้นอาจจะอยู่รอดแต่ก็ไม่ได้สร้างผลกำไรกลับมา
การลงทุนก้อนใหญ่ใน Didi บริษัทเรียกรถในจีนถือว่ากำลังไปได้ดีและมีโอกาสผ่านพ้นวิกฤต COVID-19 ไปได้ ส่วน WeWork ถือเป็นความล้มเหลวในการลงทุนเพราะเตรียมเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย ยิ่งมีสถานการณ์โรคระบาดทำให้ทางบริษัทต้องกลับมาคิดเรื่องของธุรกิจ co-working ในระยะยาว
ทาง Softbank เองก็วางแผนที่จะขายสินทรัพย์มูลค่า 41,000 ล้านดอลลาร์เพื่อนำเงินมาซื้อหุ้นคืนและชำระหนี้บางส่วนก่อน นอกจากนั้นยังมีการกู้เงิน 115,000 ล้านดอลลาร์โดยใช้หุ้นของอาลีบาบาที่ทาง Softbank ถืออยู่เป็นหลักค้ำประกัน (ตอนนี้ถือหุ้นอยู่ 25.1% หรือคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 133,000 ล้านดอลลาร์)
ที่มา CNN