นานมากแล้ว ที่ซีไม่ได้เขียนบล็อก เพื่อระบายความรู้สึกตัวเอง หรือ เป็นไดอารี่เพื่อจดจำ…  และแทบจะไม่เคยเลย กับการเขียนบล็อกที่ไว้ “ตอบโต้”ในเชิงเหตุผล หรือ ความรู้สึกของใคร…

nui-and-cee-brother-and-me

 

จนเมื่อได้อ่าน “บล็อก”คมชัดลึกในเชิงคอลัมน์จากใจ “พี่หนุ่ย พงษ์สุข” ในเช้าวันนี้ที่เขียนถึง “ซี”ผ่านสื่อทำเอา “เช้าวันนี้ของซี เป็นวันที่ฟ้าเปิดเสียที” ฟังแล้วอาจจะเลี่ยนไปสักหน่อย แต่ก็เป็นเรื่องที่เก็บไว้ในใจตลอดระยะเวลาที่ “ลาจากแบไต๋ไฮเทค”ฟากซีก็มีกระแส และ บุคคลที่สาม…ถามและพูดถึงต่างๆนานา

เรื่องที่ทุกคน…อาจไม่เคยรู้

จริงๆ ซีเชื่อว่า ทุกคนที่ติดตามซีมา อาจยังไม่ทราบเหตุผลที่ “แท้จริง” ที่ซีได้ออกจากรายการแบไต๋ ทิ้งความสงสัย ทำให้หลายคนเข้าใจและตีความไปว่า “ซีไม่แคร์” หรือ “แบไต๋ทอดทิ้งซี”

อธิบายในแง่ “ความเป็นซี” ก่อนน่าจะดีกว่า บ่อยครั้งที่ซีมี “อาการเด็กเนิร์ด”ที่ครุ่นคิดกังวลแต่ไม่กล้าพูดอะไรออกไป ถึงเวลาเข้าจริง ได้แต่”พูดสั้นๆ”เพื่อให้อีกฝ่ายได้ “ถามต่อ”และจะได้มีโอกาส “สื่อสาร”กัน..

จะว่าไปแล้ว…”ซีไม่ใช่คนพูดเก่ง”เลยจะเป็นคน”ชอบถามเพื่อรับฟังความคิดของอีกฝ่าย”ก่อนจะตัดสินใจ”พูด”อะไรออกไป…ซะมากกว่า มันอาจใช้ได้ดีมากกับการทำงานของซี ในฐานะพิธีกร

แต่ในสถานการณ์แบบนี้ มี”เหตุปัจจัย”หลายอย่างมากๆ ที่ทำให้ “สถานการณ์ไม่ได้คลี่คลาย” และหลายครั้งเกิดจาก “คนรอบข้าง”ซะมากกว่า ที่จะเป็นเรื่องความเข้าใจผิดจากการไม่สื่อสารระหว่าง “ซี และ พี่หนุ่ย” จนเป็นเหตุให้มีคนถามซีบ่อยว่า “ไม่ถูกกันเหรอ” และคำตอบที่ทุกคนจะได้รับจากซีเสมอคือ “ซียังเคารพและชื่นชมพี่หนุ่ยเหมือนเดิม แม้จะไม่ได้ทำงานด้วยกันเหมือนเดิม”

nui-and-cee-brother-and-me-2

 

แต่หากจะอธิบายในแง่ของ “เหตุผล”เหตุผลแรก คือ ความน้อยใจมากกว่า ที่เมื่อมีการปรับรูปแบบรายการเป็น 5 วันตั้งแต่แรก ซีกลับเป็นคนเดียวที่แทบจะไม่รู้อะไรมากนัก รู้แค่รายการจะปรับรูปแบบ แต่ไม่รู้จริงๆว่า ตัวเองต้องทำอะไร อาจเพราะช่วงนั้น งานพี่หนุ่ยหนักมากด้วย

เหตุผลถัดมา คือเรื่องเวลา…ซีเองในช่วงนั้น มีอ่านข่าวเช้าที่ NBT ตื่นตี 3 ทุกวัน…และ ทำให้สุขภาพของ​”คุณพ่อ”ที่ต้องขับรถไปรับส่งทุกเช้าตรู่ เริ่มไม่แข็งแรง จะขับไปเอง ที่บ้านก็เป็นห่วงว่า จะเบลอๆทำงานดึกๆ ห้าทุ่มเที่ยงคืน แล้วตื่นตีสามไปต่อ พอประกอบกันกับ “ความน้อยใจ”ที่ไม่ได้รับรู้อะไรมาก

พอทบกันกับเหตุผลที่สาม…เห็นว่า มีพิธีกรหญิงอีกจำนวนมากที่ในภายหลังมีผู้ปรารถนาดีมาบอกซีว่า เค้าได้รับการติดต่อในราคาค่าตัวมากกว่าซีเกือบ”ห้าเท่า”!!? ที่เสียใจไม่ใช่เพราะเราได้น้อย แต่เสียใจเพราะเราไม่ถูกเห็นค่าทั้งที่ทำมาก่อนตั้งนาน… จริงหรือไม่… ไม่อาจจะทราบได้ และไม่ขอพาดพิงถึง บุคคลที่ 3 ท่านนั้น

การตีความซีในวันนั้น คือ “เราไม่ได้มีความสำคัญอะไร”เลย ในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ….เมื่อถึงวันถ่ายทำครั้งสุดท้าย ซีเองก็นอนไม่หลับพร้อมปรึกษา ทั้งที่บ้านและ คนรอบข้างหลายๆคน…เพราะซีมีความผูกพันกับพี่ๆทุกคนและ ก็ทำงานกับทีม “แบไต๋”มาเป็นเวลาเกือบ2 ปีแล้ว (เทปแรก…ตั้งแต่วันที่ 9กันยายน 2552 ถึง 8 พฤษภาคม 2554)

จริงๆ ซีไม่เคย”ลาออก”จากรายการไหนเลย ทำจน”วาระสุดท้าย คือ สิ้นสัญญาของรายการ” อย่างของพี่จอห์น นูโว…ก็ยังทำให้อยู่ตลอด แม้อยู่ระหว่าง การทำงานกับ “แบไต๋” ไม่เคยผิดใจอะไรกัน มีแต่ความเคารพและนึกถึงทางที่ดีเสมอ

ไม่เคยลืมตัวหรือคิดสำคัญตัวเหนือคนอื่น…เลยสักครั้ง จนถึงตอนนี้ ก็ยังเป็นซีคนเดิมอยู่

การตัดสินใจจะพูดครั้งนี้ จึงเป็นเรื่องที่”ยากมากๆ”สำหรับซี และ ก็ไม่คิดว่าจะจบง่ายๆแบบนั้นด้วย…มันเกิดขึ้นเพราะ “Reaction” ที่เราไม่ได้คาดมาก่อน…

ภาพในความทรงจำ…ของซี

วันที่ซีเดินเข้าไปบอกพี่หนุ่ยก่อนเริ่มรายการ จริงๆซีมาก่อนเวลาพอสมควร ในใจ…กลัวคำตอบ กลัวReaction และจะรอฟัง รอคุยว่า “พี่หนุ่ย”จะตอบอะไรกลับมา

เนื่องจากพี่หนุ่ยเป็นคนที่ “พูดเก่ง” ซีจึงไม่ต้อง “พูดเก่ง”กับพี่หนุ่ย แต่แค่อยาก “พูดคุยว่า พี่ชายยังให้ความสำคัญกับเราอยู่บ้างไหม และจะจัดการ ถามไถ่เหตุผลอย่างไร…เราจะตอบทั้งหมดยังไง” ซีเลยได้แต่พูดไปว่า

“พี่หนุ่ยคะ…สำหรับรายการใหม่ ซีอาจจะไม่ได้ทำนะคะ…” พร้อมมองตาและรอฟังคำถามต่อไปจากพี่หนุ่ย แต่กลับได้คำตอบสั้นๆแทนคำถามว่า

“หรอ…อืม”แล้วหันหลังเข้าสตูไป

อย่างที่พี่หนุ่ยเขียน ไม่นานนักก็นับเข้ารายการ…3 2 1 และต้อง “ยิ้มไหว”แม้ในใจอยากจะ “ร้องไห้”เพราะได้คำตอบชัดเจนในใจแล้วว่า “พี่เค้าไม่ได้แคร์เราจริงๆด้วย” ทั้งหมดที่เราได้ยินมาและคิดอยู่”คงจะ”เป็นความจริง…หลังจากนั้น ซีไม่ได้เข้มแข็งอะไรเลย “ร้องไห้ติดกันเป็นอาทิตย์”เพราะยังนั่งดู “แบไต๋”เวอร์ชั่นที่ไม่มีเราอยู่

nui-and-cee-brother-and-me-3

คุณคงเดาไม่ได้หรอกว่ามันรู้สึกยังไง จนหลังๆเริ่มไม่ได้ดู อันนี้ก็ไม่ต้องพูดถึงวันเปิดตัวรายการแบไต๋รูปแบบ ใหม่ที่ “ไม่มีเรา” วันที่ไปวันนั้นเป็นความบังเอิญผ่านไป ไม่ได้ตั้งใจไปเป็น”ส่วนเกิน”ในความรู้สึกตัวเองแต่อย่างใด เพราะเราเองก็ “ไม่ได้รับเชิญ”เหมือนกัน…

Reaction ปฏิกิริยาต้านทาน…ความเข้าใจ

ซีได้เคยโทรไปปรึกษากับพี่จอห์น นูโว…ถึงเรื่องพี่หนุ่ยอยู่สองสามครั้ง เพราะช่วงแรก เคยได้ยินจาก “ออแกไนซ์…หลายๆเจ้า ที่โทรมาแล้วถามว่า สามารถรับงานคู่กับเขาได้มั้ย” ซีถึงกับงง…มากๆ ก็ตอบไปว่า “ได้สิคะ ทำไมพี่ถึงถามอะไรแบบนั้นอ่ะ”

หลายๆงานเข้า…เลยมีคำตอบเป็น “Pattern” ว่า “ซีรับได้ไม่มีปัญหา”

คิดในใจว่าก็ดีด้วยซ้ำ…เผื่อมีโอกาสได้เจอกันบ้าง ได้เคลียร์กันบ้าง…แต่กลับได้ยินหนาหู ถึงความไม่พอใจของพี่หนุ่ย ที่มีต่อซี คำถามที่ซีเจอคือ “ไปทะเลาะอะไรกับหนุ่ยมา?” มีทั้งจาก”ลูกค้าในวงการไอที”และ จากคนที่บอกว่าเป็น”เพื่อนพี่หนุ่ย”ที่ได้ร่วมงานกับซี…คำตอบเดิมที่ได้จากซี คือ “ซีก็ไม่รู้ว่าพี่หนุ่ยรู้สึกยังไง…แต่ซีไม่ได้อะไรเลยค่ะ ยังรักและเคารพเหมือนเดิม” ยืนยันว่า ที่พูดนั้น คิดอย่างนั้นจริงๆ

มีหลายครั้ง ที่เจอกันตามงานทุกครั้งซีจะ “ยกมือไหว้”หลายครั้งที่รู้สึกได้ “ถึงอาการเบือนหน้าหนี” และมีบางครั้งไม่แน่ใจว่า อาการที่เห็นใช่อาการ “ไม่อยากรับไหว้”รึเปล่า จนงานล่าสุดเมื่อปีก่อน ที่เกิดความผิดพลาดของการจัดคิวงาน ทำให้ซีไปถึงช้า…ซึ่งเป็นงานที่พี่หนุ่ยก็ไปร่วมงานด้วย ครั้งนี้น่าจะชัดเจนที่สุด เพราะพี่หนุ่ยโพสข้อความอ้างถึง “เจ้าหญิงไอที” ต่อว่าแบบ”สาธารณะ”(Public Post) ถึงอาการมาช้า ซีได้เห็นเพราะ “เพื่อนและคนในวงการไอที”ได้ส่งข้อความที่พี่หนุ่ยเขียนถึงและโพสแชร์เป็นสาธารณะในลักษณะประจานความผิดของซี ครั้งนั้น ขอแจ้งในที่นี้เลยค่ะ ว่าเป็นงานที่ซี”ขอมอบคืนค่าตัวครึ่งหนึ่ง”ให้กับทางผู้จัดงาน เพื่อชดเชยที่ทางทีมงานจัดตารางงานให้เสียหาย ส่วนตัวซีในฐานะพิธีกรทำได้แต่ยืนเบื้องหน้าให้งานดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ในฐานะพิธีกรมืออาชีพ แม้ในใจจะรู้สึกร้อนใจแค่ไหนก็ตาม…

nui-and-cee-brother-and-me-4

ต้องเจอหน้ากันตลอด…แต่ไม่เคยมีโอกาสเคลียร์กันจังๆ เลยสักครั้ง

แต่หลังจากนั้น พอได้อ่านข้อความทั้งหมดทั้งในบอร์ด และ จากเพจเฟซบุ้คของพี่หนุ่ยด้วย ทราบว่าหลังจากนั้นไม่นาน โพสต่อว่าโพสนั้น…ได้ถูกลบทิ้ง ในใจก็มีแต่คำถามว่า “ทำไมถึงเลือกบอกผ่านข้อความสาธารณะ มากกว่า เลือกเตือนกับซีเอง”และคำตอบเดิมที่ผุดขึ้นมาอีกครั้งคือ “เค้าคงเกลียดเรามากแน่ๆ” ซีไม่โต้ตอบอะไรไม่ใช่ไม่เสียใจหรือไม่แคร์ ไม่มีความรู้สึก แต่เพราะเคารพ และ ให้เกียรติเสมอ เพราะแบไต๋ไฮเทค และ พี่หนุ่ย สำคัญในความรู้สึก ซี…มาโดยตลอด

…เกือบทุกครั้งที่เกิดความรู้สึก “จิตตก” ก็โทรไประบายกับพี่จอห์นตลอดว่า ควรจะเคลียร์กันมั้ย ยังไงดี…ทั้งที่วันที่เดินออกมา คนที่”เสียใจที่สุด”น่าจะเป็นซีด้วยซ้ำไป…การกระทำที่เหลือที่ตามมา จึงไม่ได้อย่างใจเพราะ กลัว “Reaction” ที่เจ็บปวดเหมือนที่เคย

ตอนนี้น่าจะตอบคำถามความ”ไม่พอใจ”2 ข้อของพี่หนุ่ยไปได้บ้างว่า ทำไมซีถึงไม่กล้าเข้าพบเลยหลังพี่หนุ่ยมีน้อง และ ทำไมถึงไม่ได้โทรหา…ช่วงแรกๆ ยังติดที่ความน้อยใจ พอทิ้งห่างไป ความไม่พอใจต่อกันเลยถม

มีครั้งหนึ่งที่ได้เห็น “น้องอยู่นี่” ตอนเจอพี่ตุ๊ก(ภรรยาพี่หนุ่ย) และพี่หนุ่ยในงานที่ศูนย์ประชุม ได้แต่ตกใจเผลอแป้ปเดียว “โตแล้ว” ได้แต่เสียใจ เพราะไม่ได้อัพเดทความเป็นไปอะไรมากนัก เพราะไม่รู้จริงๆว่าจากสถานการณ์ที่ได้เจอ บวกกับ ที่ปรึกษาที่รู้จักทั้งซีและพี่หนุ่ยก็พูดคล้ายๆกันหมดว่า…

“ถ้าถึงเวลา…มันจะดีขึ้นเอง”

ถามว่าคนทำงานด้วยกันตั้งนาน ทำไมซีถึงไม่กล้าคุยตรงๆทั้งหมดนี่น่าจะตอบคำถาม…

ซีกลัวพี่หนุ่ยตีความ…ผิด แล้วจะยิ่งไม่เข้าใจกันมากกว่าเดิม

จึงได้แต่ปล่อยให้เวลาเจือจางความรู้สึกร้ายๆ เพื่อรอว่า “สักวันหนึ่ง”ที่สวยงามพอ จะมี “เวลาที่ทำอะไรดีๆต่อกันได้อีก”

ทริปชมโรงงาน LG เกาหลีใต้…ทริปมิตรภาพ

ทริปที่เพิ่งผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ดีมาก…ไม่ใช่แค่โอกาสที่ได้ไปส่องเกาหลีเหนือกับโรงงานLG พร้อมเทคโนโลยีที่น่าตื่นใจเท่านั้น แต่เป็นจังหวะที่ “สวยงาม” เพราะทั้งซีและพี่หนุ่ยถูก “จับแยกตัวจากงานหนักๆ”ให้เอาหน้ามาเจอกันอยู่ สี่วันติด…แบบหนีหน้ากันไม่ได้อีกแล้ว

ทริปที่ทำให้ซีได้คิดว่า …. เราสองคนจะไม่ใช่เกาหลีเหนือเกาหลีใต้…อีกต่อไป

เริ่มต้นสวย…จาก ตอนที่เชคอินที่สนามบิน พี่หนุ่ยเป็นคนเดินเข้ามาทักทาย คุณพ่อคุณแม่ของซีก่อนเอง… ทำให้เรื่องทั้งหมดที่ซี คิดและเจ็บปวดมานานเหมือนมี”คนมาทายาให้”…เฮ้ย เค้าไม่ได้เกลียดเรา!!!

ตลอดทั้งทริป…ซีก็พยายามหาจังหวะที่จะพูดคุยอยู่เรื่อยๆ พร้อมกับเตรียมท่องคำพูดสั้นๆไว้ในใจเผื่อมีโอกาสได้เคลียร์…จนวันสุดท้ายที่สนามบินก็ยังไม่ได้คุย เลยหาโอกาส ด้วยการมี “ของฝากเชยๆ”อย่าง “สาหร่ายเกาหลี”เพื่อเป็นตัวเปิดบทสนทนา ที่ดีแก้เขินหน่อย และ สบจังหวะจะได้หาของฝากเล็กๆแทนความใส่ใจได้บ้าง…

“เอ่อ…พี่หนุ่ยคะ อันนี้ซีให้ค่ะ”

“ให้พี่เนื่องในโอกาสอะไรครับ?”…พี่หนุ่ยถามกลับก่อนจะเอื้อมมือมาหยิบถุงไปดู

(เงียบไป3วิ อันนี้..ไม่ได้คิดมา)

“เอ่อ…อยากให้น่ะค่ะ ไม่ได้ให้อะไรนานแล้ว ถือว่าฝากน้องก็ได้ค่ะ ไม่เคยมีโอกาสได้ให้อะไรน้องเลย”

“ขอบใจนะ”

พี่หนุ่ยตอบสั้นๆก่อนจะโดนคั่นบทสนทนา…เพราะต้องขึ้นเครื่อง

ระหว่างเครื่อง ซีไม่รู้ว่า พี่หนุ่ยรู้สึกยังไง แต่ซีก็รู้สึกดี ที่ได้มีโอกาสทำอะไรดีๆให้ซะที ช่วงระหว่างเครื่องนั่งห่างกันไม่ไกล ก็แอบๆสังเกตว่า พี่หนุ่ยไม่ได้หลับ แต่ไม่มีโอกาสได้คุยหรือยิ้มให้ จนเมื่อเครื่องลง สิ่งแรกที่พี่หนุ่ยพูด ซีจำได้หมดเหมือนอัดวีดีโอ แม้จะไม่ได้ใส่ Glass ก็ตาม…

“ ขอบใจนะซี ที่ยังนึกถึง พี่และ ลูกพี่ ”

คนเริ่มยืนหยิบสัมภาระและเบียดเสียด…ซีได้แต่ตอบสั้นๆว่า

“ คิดถึงอยู่ตลอดแหล่ะค่ะ แต่ไม่มีโอกาสได้พูด”

…เขียนมาถึงนี้ ยาวจนจะเป็นหนังสั้น แต่นั่นเป็นเพราะซีเก็บบันทึกความทรงจำทุกเรื่องในชีวิตเหมือนรายละเอียดของสิ่งรอบข้างชัดเจนมากในหัว และ คำพูดที่เตรียมมา แม้จะสั้นแต่มันยาวกว่านี้ แต่ไม่มีโอกาสได้พูด(อีกแล้ว)

ก่อนแยกกัน เราต่างขอบคุณทาง LG ที่ดูแลกันมาอย่างดีตลอดการเดินทาง และร่ำลาทีมผู้สื่อข่าวที่ไปด้วยกันน่ารักๆ…แต่ได้เวลาที่ซี…ต้องพูดอะไรสักอย่างที่สั้นๆอีกสักคำสองคำ เพื่อให้พี่หนุ่ยเข้าใจว่า ซียังเป็นน้องที่ดีอยู่เสมอ และเค้ากำลังจะเดินไปแล้ว ซีเลยได้ตะโกนเรียกออกไป…

“พี่หนุ่ยคะ”

“…ซียังเหมือนเดิมนะ”

สั้น…ที่สุด แต่…เหมือนจะครบที่สุดเท่าที่อยากจะพูดออกไปทั้งหมดในใจ…ตอนนั้นจริงๆ พี่หนุ่ยมีรอยยิ้มแบบที่ซีประทับใจที่สุด เพราะมันทั้งเศร้าและคลี่คลายคำตอบทุกอย่าง พร้อมเดินมา “กอดเบาๆ”

“ขอบใจนะซี”

แค่นั้นแหละที่รอ…มานาน

ทุกอย่างมัน “ใช่” กับการกลับมา”ดีกัน”แบบผู้ใหญ่

เรื่องนี้ สำหรับซีคำว่า “ขอโทษ”มันดูผิดบริบท แต่แค่นี้จริงๆที่เฝ้ารอวันที่จะได้คลี่คลายมาหลายปี

ดีใจจริงๆที่ไปบวชชีพราหมณ์ มา…ล่าสุด ซีก็ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่บันดาลเวลาที่เหมาะพอจะคลี่คลายได้ และ ยังบันดาลให้หลังจากทริปนี้ ยังมีคอลัมน์จากพี่หนุ่ยคลี่คลายชัดเจนขึ้นตามมาอีก

คงเพราะอากาศเย็นๆ ดอกไม้สวยๆ และ อุปกรณ์ไอทีเจ๋งๆ…

ภาคต่อของ “ซี”รี่ย์ความทรงจำ กับอีกก้าวสำคัญของวงการไอที ของซีกับพี่หนุ่ยต่อจากบลอคนี้

คือ “สายโทรศัพท์ซี”ต่อหาเบอร์ที่ซี “ไม่กล้าโทรหามานานมากแล้ว”…

แล้วซี ก็คงจะได้พูดคุยกับพี่เค้า

…..แต่ครั้งนี้

ซีจะขอพูด…..ให้ยาว…กว่าเดิมนะคะ

ด้วยความเคารพเสมอ

@ceemeagain

nui-and-cee-brother-and-me--5