Coca-Cola เข้าร่วมโครงการ “Stop Hate For Profit” เตรียมหยุดลงโฆษณาบน Facebook และ Instagram ทั่วโลกอย่างน้อย 30 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กรกฏาคมเป็นต้นไป
การเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นโดยความร่วมมือของ Anti-Defamation League, the NAACP และองค์กรอื่นๆภายใต้โครงการชื่อว่า “Stop Hate For Profit” เนื่องจาก Facebook ไม่สามารถหยุดยั้งการเผยแพร่ข้อความที่สร้างความเกลียดชังได้ ไม่ใช่แค่ Facebook และ Instagram แต่อาจจะขยายการแบนไปยังแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์อื่น ๆ อย่างเช่น Twitter, YouTube ด้วย
Coca-Cola ถือเป็นอีกบริษัทใหญ่ที่ร่วมกับ ทาง Unilever และ Verizon ที่ประกาศแบนไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งทั้งสองบริษัทถือเป็นผู้ลงโฆษณารายใหญ่ในอเมริกา
ทางผู้บริหารของ Coca-Cola ได้ออกมาประกาศผ่านหน้าเว็บว่า จะทำการหยุดซื้อโฆษณาบนสื่อสังคมออนไลน์เป็นเวลาอย่างน้อย 30 วัน เพื่อประเมินมาตรฐานและนโยบายโฆษณา รวมถึงสิ่งที่เราคาดหวังจากพันธมิตร ในการกำจัดเนื้อหาที่สร้างความเกลียดชัง, เนื้อหาที่มีความรุนแรงและเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม เราต้องการให้พวกเขามีความรับผิดชอบ, ลงมือจริงจังและมีความโปร่งใส
ทาง Mark Zuckerberg นั้นก็ได้มีการประกาศการปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการโดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เนื่องจากไม่สามารถจัดการเนื้อหาที่มีความรุนแรง, เนื้อหาที่สร้างความเกลียดชัง รวมไปถึงข่าวปลอมที่โพสต์โดยประธานาธิบดี Donald Trump ได้
การแบนครั้งนี้ขยายตัวจนกลายเป็นเทรนด์ที่แบรนด์ใหญ่ๆออกมาหยุดการลงโฆษณากับ Facebook หลังจากที่เปิดตัวโครงการมาตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมา เริ่มจากบริษัทใหญ่จาก North Face และ Patagonia จากนั้นขยายตัวไปยังแบรนด์อื่นๆมากขึ้น ตอนนี้มีแบรนด์ต่างๆเข้าร่วมมากกว่า 100 แบรนด์แล้ว แต่ก็ต้องมารอดูว่าจะสร้างแรงกระเพื่อมแค่ไหน เพราะรายได้โฆษณาของ Facebook ส่วนใหญ่นั้นมาจากธุรกิจขนาดกลางและเล็ก
ทางตัวแทนของ Facebook ออกมาบอกว่า ทางบริษัทได้ออกมาทุ่มเงินนับพันล้านดอลลาร์ทุกปี เพิ่มความปลอดภัยให้กับชุมชน รวมถึงทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกในการตรวจสอบและปรับปรุงนโยบายการใช้งาน, เปิดให้มีการตรวจสอบจากภายนอก ซึ่งตอนนี้เรามีการแบนกลุ่มชาตินิยม 250 กลุ่มบน Facebook และ Instagram
มีการลงทุนใน AI ที่สามารถตรวจจับเนื้อหาที่สร้างความเกลียดชังได้ถึง 90% ก่อนที่จะมีผู้ใช้รายงานเข้ามา ซึ่งทาง EU รายงานว่าระบบของ Facebook สามารถตรวจจับได้เร็วกว่า Twitter และ YouTube ถึง 24 ชั่วโมง
แน่นอนว่าเรายังมีงานที่ต้องทำอีกเยอะ ทั้งการร่วมมือกับองค์กรสิทธิ, GARM และผู้เชี่ยวชาญต่างๆในการพัฒนาเครื่องมือ, เทคโนโลยีและนโยบายในการรับมือกับเรื่องเหล่านี้
ที่มา the verge