หลังจากจีนเคยประกาศเปิดตัวดาวเทียม 6G ตัวแรกของโลกไปแล้วเมื่อปลายปีที่แล้ว ล่าสุดตามข่าวจากสำนักข่าว Nikkei ทาง CEO บริษัท Huawei Technilogies สัญญาจะเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีไร้สาย 6G เพื่อต่อต้านการต้านการคว่ำบาตรจากสหรัฐอเมริกา และยังได้ประกาศกับพนักงานอีกด้วยว่า ให้พยายามทำลายขีดจำกัด เพื่อจะได้เป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมครั้งใหม่นี้
ในขณะที่ผู้ใช้งาน 5G ตอนนี้ จากรายงานของ “Ericsson Mobility Report 5G” ช่วงเดือน มิถุนายน 2564 โดยระบุว่า ยอดผู้ใช้งาน 5G ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 580 ล้านคนภายในสิ้นปีนี้ จากเดิมที่มีเพียง 220 ล้านคนเมื่อสิ้นปี 2563 ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนียถือเป็นภูมิภาคที่มีการเติบโตมาก เห็นจากจำนวนผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนที่มีมากกว่า 1.1 พันล้านราย ซึ่งในจำนวนนี้ใช้งาน 5G ประมาณ 2 ล้านราย และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ
รายงานระบุว่า หัวเว่ย เป็นผู้ถือครองสิทธิบัตร (Standard-essential Patent หรือ SEPs) เทคโนโลยี 5G มากที่สุด โดยสิทธิบัตรเหล่านี้เป็นสิทธิบัตรที่ทำให้ 5G ของหัวเว่ยเร็วกว่า การถ่ายโอนข้อมูลที่ความหน่วงระดับต่ำ โดยระบบถูกนำไปใช้ในระบบรถยนต์อัตโนมัติ การไลฟ์สตรีมเป็นหลัก
Huawei มุ่งจดสิทธิบัตร 6G ก่อนสหรัฐฯ
แต่ข่าว 6G ก็เริ่มเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อนโดยเฉพาะข่าวจากประเทศจีนที่จะพยายามเอาชนะในศึก 6G ครั้งนี้ให้ได้ โดยการวิจัย 6G ของหัวเหว่ยนั้นตั้งเป้าหมายสูงสุดไว้ว่า จะยึดสิทธิในการถือครอง และไม่จำเป็นต้องรอให้ใช้งานได้จริงก่อน เพียงแค่มุ่งเน้นไปที่การจดสิทธิบัตรเท่านั้น
แม้ว่าเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น แต่ 6G จะล้ำยิ่งขึ้นในการนำไปพัฒนาเรื่องการวิจัยอวกาศและธรณีศาสตร์ และคาดว่า 6G มีความเร็วมากกว่า 5-10 เท่าของ 5G เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีความน่าสนใจอีกอย่างคือ LOW LATENCY RATE ซึ่งเป็นความเร็วที่จะตอบสนองต่อข้อมูลจะต่ำมากๆ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถที่จะสั่งงานและควบคุมสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วแค่พริบตาเดียว
อีกสถิติที่น่าสนใจจาก สำนักข่าวนิกเคอิ สื่อญี่ปุ่นรายงาน (15 ก.ย.) จีนครองอันดับ 1 โลกในการยื่นจดสิทธิบัตรเทคโนโลยี 6G รวมถึงการสื่อสาร เทคโนโลยีควอนตัม และปัญญาประดิษฐ์ ด้วยสัดส่วนร้อยละ 40.3 ของสิทธิบัตรทั้งหมดในด้านดังกล่าวของโลก ขณะที่สหรัฐฯ มีจำนวนการยื่นจดสิทธิบัตรฯ สัดส่วนร้อยละ 35.2 ในขณะที่ญี่ปุ่นมีสัดส่วนร้อยละ 9.9 และยุโรปร้อยละ 8.9 และเกาหลีใต้ร้อยละ 4.2
ซีอีโอหัวเหว่ยยังยอมรับอีกว่าได้รับผลกระทบจากการคว่ำบาตรจีนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เมื่อปี 2562 ทำให้รายได้ลดลงไปจากเดิมมาก อย่างไรก็ตาม ซีอีโอยังกล่าวเพิ่มว่า “บริษัทจะไม่ยอมแพ้ในการพัฒนาเซมิคคอนดักเตอร์ของตัวเองผ่านชิปยูนิต HiSilicon Technologies และได้ลงทุนกับชิป 20 แห่ง เพื่อต่อสู้เอาชีวิตรอด ดังนั้นเราต้องก้าวไปข้างหน้า”
ที่มา: Nikkei