Ford และมหาวิทยาลัยโปรดู ได้จดสิทธิบัตรการออกแบบสายชาร์จใหม่ที่จะทำให้ใช้เวลาชาร์จรถไฟฟ้าลดลงเหลือเพียงประมาณ 5นาทีเท่านั้น
สายชาร์จที่ Ford ได้พัฒนาขึ้นสามารถส่งกระแสไฟได้มากกว่าสายาร์จของ Tesla Supercharge ที่เป็นสายชาร์จที่เร็วที่สุดอญุ่ขณะนี้ กว่า 4.6 เท่าเลยทีเดียว แต่ปํญหาหลักของการชาร์จที่เร็วขนาดนี้คือการจัดการกับความร้อน
ความร้อนในสายชาร์จบางสวนสามารถกระบายออกได้ตามธรรมชาติ โดยการขยายฉนวนหุ่มสายไฟให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น แต่ถ้าจะส่งกระแสไฟในจำนวนมากและเร็วขนาดนี้ จะต้องเพิ่มฉนวนหุ่มสายไฟเป็นจำนวนมากจนสายไฟแทบจะงอไม่ได้และจะมีน้ำหนักที่หนักมากเลยทีเดียว ซึ่งนายไมเคิล แดงเกอร์ ที่เป็นผู้นำอาวุโสฝ่ายเทคนิค ของสถาบันวิจัยของ Ford ได้คำนึงถึงความสะดวกสบายในการใช้สายชาร์จที่ทาง Ford ได้ออกมาแบบมาให้ใช้ได้ง่ายสำหรับทุกคน รวมถึงผู้พิการ หรือผู้สูงอายุอีกด้วย “For anyone with a disability, or older people with limited mobility, it would be more and more challenging,” จึงทำให้การใช้ฉนวนที่หนาขึ้นเพื่อรองรับกับความร้อนที่จะเกิดระหว่างการส่งกระแสไฟนั้นไม่ใช่ทางออก
แต่ Ford ทำอย่างไรให้สายชาร์จส่งกระแสไฟได้มากขึ้นกว่าเดิมมาก และยังคงความหนาของฉนวนหุ่มสายไฟได้เล็กเท่าเดิม หรือเล็กกว่าเดิมก็ยังได้
Ford บอกว่าพวกเค้าใช้การลดความร้อนด้วยของเหลว ซึ่งทุกวันนี้ก็มีเทคโนโลยีนี้ก็มีใช้กันใ้เห็นทั่วไปในพวกกราฟฟิกการ์ด หรือพวกหลอดไฟ LED
โดยที่สายไฟนั้นจะมีของเหลวที่จะช่วยลดความร้อนพันรอบภายใต้ฉนวนอีกที เวลาที่มีความร้อนเกิดขึ้น สารเคมีในของเหลวจะทำให้เกิดการละเหยภายใต้ฉนวนก่อนที่จะถึงมือผู้ใช้ ทำให้สายชาร์จไม่ร้อนจนไหม้มือผู้ใช้สายชาร์จได้ นอกเหนือจากนี้ประเทศที่มีอุณหภูมิเย็นก็สามารถใช้สายชาร์จนี้ได้ไม่มีปัญหา
ทาง Ford คาดว่า สายชาร์จนี้ยังคงต้องใช้เวลาพัฒนาอยู่อีกสองปี เพื่อที่จะคิดวิธีการผลิตสายชาร์จแบบนี้ออกมาใช้บนท้องตลาดได้ แต่นอกเหนือจากสายชาร์อย่างเดียวแล้ว ตัวแบตเตอรี่ที่อยู่ในรถไฟฟ้าก็ต้องพัฒนาให้รับการส่งกระแสไฟได้มากขึ้นด้วยถึงจะทำให้การชาร์จแบตเตอรี่ทำได้เร็วขึ้น ใน
นายแดงเกอร์กล่าวอีกว่า ขณะที่เรื่องระยะทางการใช้งานของรถไฟฟ้าที่ปัจจุบันสามารถเดืนทางได้ประมาน 300 ไมล์ (ประมาณ 482กิโลเมตร) เป็นระยะทางที่รับได้แล้ว อัตราการเร่งของรถไฟฟ้าก็ดีกว่ารถที่ใช้น้ำมันมากแล้ว เราเหลือแต่ความเร็วในการชาร์จที่ทุกวันนี้ยังใช้เวลากว่า 20นาทีหรือมากกว่านั้น ซึ่งเราต้องพัฒนาด้านนี้เพื่อที่จะดึงดูดให้คนหันมาใช้รถไฟฟ้ากันมากขึ้น