ความพยายามในการค้นหาวิธีการรักษาผู้ที่ติดเชื้อเอดส์นั้นมีมาอย่างยาวนานแต่ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อเพียง 2 รายเท่านั้นที่ได้รับการยืนยันว่าหายขาดจากโรคเอดส์ ซึ่งทั้ง 2 รายก่อนหน้านั้นเป็นผู้ป่วยชาย โดยรายล่าสุดที่รักษาหายนั้นได้รับการยืนยันเมื่อปี 2020 หลังจากที่เขาไม่ตรวจพบเชื้อ HIV ในตัวนานเกือบ 2 ปีครึ่ง ซึ่งเขาได้รับการรักษาด้วยวิธีการการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ที่ช่วยยับยั้งไม่ให้เชื้อไวรัสเพิ่มจำนวนในร่างกายเนื่องจากเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันในตัวคนไข้ได้ถูกแทนที่ด้วยเซลล์ที่ต้านทานการติดเชื้อ HIV จากผู้บริจาค และล่าสุดวิธีการเดียวกันนี้ก็ได้ทำให้ผู้ป่วยเอดส์หญิงรายแรกของโลกสามารถหายขาดได้

โดยความสำเร็จในครั้งนี้ถูกเปิดเผยในงานสัมมนาออนไลน์ของมหาวิทยาลัย California Los Angeles (UCLA) และมหาวิทยาลัย Johns Hopkins University ซึ่งผู้ป่วยเอดส์รายนี้เป็นหญิงวัยกลางคนที่ป่วยเป็นลูคีเมีย(มะเร็งเม็ดเลือดขาว) เธอได้รับการตรวจพบว่าติดเชื้อเอดส์ในปี 2013 ก่อนที่จะมาป่วยเป็นลูคีเมียในปี 2017 ซึ่งการรักษาลูคีเมียด้วยการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์นั้นนอกจากจะให้ผลการรักษาลูคีเมียแล้วยังให้ผลในการรักษาโรคเอดส์ไปด้วย

ซึ่งวิธีการรักษาของผู้ป่วยหญิงรายนี้มีรายละเอียดวิธีรักษาที่แตกต่างจากผู้ป่วยเอดส์ที่รักษาหายไปก่อนหน้า เพราะการปลูกถ่ายในครั้งนี้อาศัย Stem Cell ที่ได้จากเลือดในรกเด็กแทนการใช้สเต็มเซลล์จากผู้บริจาค

** การปลูกถ่ายเส็มเซลล์รักษาโรคเอดส์ได้อย่างไร แล้วทำไมต้องเลือดรกเด็ก? **

ไวรัส HIV ที่เป็นสาเหตุของโรคเอดส์นั้นพวกมันไม่เหมือนไวรัสชนิดอื่น ๆ ที่มีเป้าหมายในการแพร่กระจายเชื้อโดยการเข้าโจมตีและยึดครองเซลล์ภูมิคุ้มกันของร่างการที่เรียกกว่า T-Cell ชนิด CD4 ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการตรวจจับไวรัสและแจ้งเตือนไปยัง B-Cell เพื่อสร้าง Antibody

โดยเปลือกหุ้มไวรัส HIV นั้นจะมีโครงสร้างโปรตีนที่ทำหน้าที่เหมือนกุญแจผีเพื่อเข้าไปใน T-Cell ก่อนที่จะส่งต่อสารพันธุกรรมเข้าไปในนิวเคลียสเพื่อเปลี่ยนให้เซลล์เป้าหมายกลายเป็นโรงงานผลิตเชื้อไวรัส HIV จน T-Cell ที่ถูกยึดครองเต็มไปด้วยไวรัสและระเบิดออกจนตาย ก่อนที่ไวรัส HIV รุ่นใหม่จะออกไปรุกรานระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อไป ซึ่งเป็นการโจมตีที่พุ่งเป้าไปยังหน่วยลาดตระเวนและเฝ้าระวังทำให้ระบบภูมิต้านทานของเรานั้นไม่สามารถรับมือกับเจ้าไวรัสเอดส์ได้เลย

ไวรัส HIV นั้นมีความสามารถหลบหลีกภูมิคุ้มกันที่เป็นเลิศรวมถึงความสามารถในการกลายพันธุ์ปรับตัวเพื่อรับมือกับยาต้านเอดส์ ทำให้ปัจจุบันเรายังไม่มียารักษาหรือวัคซีนที่ป้องกันเจ้าไวรัสเอดส์ได้ แม้ว่าเราจะรู้จักและพยายามเอาชนะมันมากว่าครึ่งศตวรรษ

สำหรับการรักษาที่ได้ผล 2 รายนั้นมาจากการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์จากผู้บริจาคที่มีภูมิคุ้มกันพิเศษซึ่งมีในคนจำนวนน้อยที่โปรตีน โดยในเซลล์ของคนเหล่านี้จะมีโปรตีน CCR5 ซึ่งเป็นตัวรับเชื้อ HIV-1 ให้เข้าสู่เซลล์ที่มีการกลายพันธุ์ 2 แบบทำให้ไวรัสไม่สามารถเข้าไปในเซลล์ของร่างกายได้ตามปกติ โดย HIV-1 นี้เป็นสายพันธุ์ที่พบเป็นส่วนใหญ่ และเมื่อผู้ป่วยได้รับการปลูกถ่ายเซลล์ภูมิคุ้มกันจากผู้บริจาคในร่างกายจะช่วยยับยั้งไม่ให้เชื้อไวรัสเพิ่มจำนวนในร่างกายผู้ติดเชื้อ เนื่องจากเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันในตัวคนไข้ได้ถูกแทนที่ด้วยเซลล์ที่ต้านทานการติดเชื้อเอชไอวีจากผู้บริจาคนั่นเอง

แต่สำหรับผู้ป่วยหญิงรายแรกที่ได้รับการรักษาจนหายเป็นรายล่าสุดนี้เธอได้รับสเต็มเซลล์ที่มาจากเลือดในรกเด็กแทนที่จะเป็นสเต็มเซลล์จากไขกระดูกของผู้บริจากที่เป็นผู้ใหญ่ ซึ่งสเต็มเซลล์ที่เธอได้รับมานั้นเป็นชนิดพิเศษที่มีภูมิคุ้มกันเชื้อ HIV โดยในระหว่างการรักษาลูคีเมียเธอจะต้องได้รับการถ่ายเลือดจากญาติสนิทเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันในระหว่างที่รอให้ระบบภูมิคุ้มกันของเธอนั้นทำการรีเซ็ตใหม่ และเหมือนกับผู้ป่วยเอดส์ที่หายขาดก่อนหน้าและเมื่อระบบภูมิคุ้มกันเธอกับมาทำงานเป็นปกติอีกครั้งก็สามารถจัดการกับเชื้อ HIV ในตัวจนปัจจุบันเธอนั้นปลอดเชื้อ HIV มาแล้วกว่า 14 เดือน โดยเธอได้หยุดรับยาต้านเอดส์มาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2020 และก็ยังไม่พบการเพิ่มขึ้นของเชื้อ HIV ในร่างกายหลังหยุดยา่จนถึงปัจจุบัน

ทั้งนี้สเต็มเซลล์จากรกเด็กนั้นเริ่มมีการนำมาใช้ในทางการแพทย์มากขึ้นเพราะสเต็มเซลล์เหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมีความเข้ากันระหว่างผู้บริจาคกับผู้ป่วยมากเท่าการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ในผู้ใหญ่

จากภาพ: วิธีการรักษาลูคีเมียด้วยการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ที่จะต้องทำลายระบบภูมิคุ้มกันเดิมของผู้ป่วยทิ้งทั้งหมด ก่อนจะสร้างขึ้นใหม่ด้วยสเต็มเซลล์จากผู้บริจาค

นับว่าเป็นผู้ป่วยรายที่ 3 ที่ถือว่าได้รับการยืนยันการรักษาโรคเอดส์ให้หายขาดอย่างเป็นทางการ และเป็นผู้ป่วยหญิงรายแรกของโลกที่สามารถรักษาจนหายได้ โดยผู้ป่วยรายนี้จริง ๆ แล้วต้องถือว่าได้รับการรักษาโรคลูคีเมียได้ผลและผลพลอยได้คือการรักษาโรคเอดส์ไปด้วยไม่เหมือนกับผู้ป่วยรายก่อนหน้าที่มุ่งเน้นการรักษาโรคเอดส์ด้วยการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์

ทั้งนี้วิธีการรักษาด้วยการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์โดยเฉพาะสเต็มเซลล์จากรกเด็กนี้คงไม่ใช่แนวทางการรักษาสำหรับผู้ป่วยเอดส์ทั่วโลกกว่า 38 ล้านคนทั่วโลกในปัจจุบัน แต่ก็เป็นวิธีการรักษาที่ยืนยันได้แล้วว่าสามารถรักษาให้หายขาดได้ ความหวังในการรักษาผู้ป่วยเอดส์ในวงกว้างนั้นก็ยังคงอยู่ที่การพัฒนายารักษารวมไปถึงวัคซีนเอดส์ ซึ่งด้วยข่าวความสำเร็จในการพัฒนาที่มีออกมาในช่วงที่ผ่านมาทำให้เชื่อได้ว่าเราน่าจะมียารักษาและวัคซีนเอดส์ให้ใช้กันในอีกไม่นาน

**************************************************************************************************************************

อ้างอิง

https://interestingengineering.com/first-woman-ever-is-cured-of-hiv-using-novel-stem-cell-transplant

https://www.bbc.com/thai/features-51827447