ข่าวดีสำหรับผู้ป่วย HIV เมื่อมีการค้นพบว่าผู้ป่วยที่มีการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์เพื่อรักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง กลับทำให้เชื้อ HIV ในร่างกายหายตามไปด้วย

เรียกว่าข่าวร้อนในวงการแพทย์ เมื่อมีการเปิดเผยข้อมูลว่าการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ทำให้เชื้อ HIV ในร่างกายหายไปด้วย เดิมทีผู้ป่วยรายนี้ไม่มีการเปิดเผยตัวตน มีชื่อเรียกว่า “London Patient” เป็นผู้ป่วยมะเร็งจาก Venezuela เคยขึ้นข่าวหน้าหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว หลังจากที่นักวิจัยจาก University of Cambridge รายงานว่าไม่พบเชื้อ HIV ในร่างกายเป็นเวลากว่า 18 เดือนแล้ว

ภายหลังผู้ป่วยรายนี้ได้เปิดเผยตัวตนในสัปดาห์นี้ เขามีชื่อว่า Adam Castillejo วัย 40 ปี ซึ่งเขาถูกวินิจฉัยว่าติดเชื้อ HIV ในปี 2003 หลังจากนั้นเขาก็ได้เข้ารับการรักษาเรื่อยมา แต่เมื่อปี 2012 แพทย์พบว่าเขาป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

ในปี 2016 เขาได้ทำการผ่าตัดปลูกถ่ายไขกระดูกเพื่อรักษามะเร็ง โดยได้สเต็มเซลล์จากผู้บริจาค ซึ่งแพทย์พบว่ายีนส์ที่ได้รับบริจาคมานั้นมีการกลายพันธุ์ โดยยีนส์นี้มีความสามารถในการต้านเชื้อ HIV ได้ซึ่งในคนยุโรปมีโอกาสพบน้อยมากแค่ 1% เท่านั้น ส่งผลให้เขากลายเป็นผู้ป่วย HIV รายที่ 2 ของโรคที่ทำการรักษาหาย ซึ่งคนแรกมีฉายาว่า “Berlin Patient” หรือชื่อจริงก็คือ Timothy Brown ชาวอเมริกันที่รักษาหายด้วยวิธีแบบเดียวกัน

ทางทีมแพทย์ได้ทำการตรวจสอบการติดเชื้อของ Castillejo ทั้งจากของเหลวและเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกายหลังจากหยุดทานยาต้านเชื้อแบบปกติมาเป็นเวลา 2 ปีแล้ว ก็ไม่พบการติดเชื้อ HIV แน่นอนว่าทางแพทย์ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าเชื้อ HIV จะหมดไปจากร่างกายของเขาแบบ 100% เพราะเชื้ออาจจะสงบนิ่งซ่อนอยู่ในร่างกายก็เป็นได้

การรักษาด้วยวิธีปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ก็ถือว่ามีความเสี่ยงสูงและยังเป็นการรักษาทางเลือกอยู่ ไม่ใช่ว่าจะรักษาได้หาย แถมยาต้านไวรัสที่ใช้ในปัจจุบันก็มีประสิทธิภาพสูง หากทานเป็นประจำและต่อเนื่องก็จะช่วยชะลอไม่ให้ HIV แสดงอาการออกมาได้ แต่นี่อาจจะเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาวิธีรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้

VIA BusinessTimes