แอปเป๋าตังเพิ่งคว้ารางวัล The Disruptor จากเวที Techsauce Global Summit 2022 ด้วยการพัฒนาบริการที่ช่วยให้คนไทยเข้าถึงบริการดิจิทัลมากขึ้น ทั้งในแง่ของการช่วยเหลือของภาครัฐ ส่งเสริมการลงทุนทั้งพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ ทองคำ ทำให้คนไทยทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม สร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคม พร้อมสนับสนุนให้เศรษฐกิจดิจิทัลเติบโตอย่างยั่งยืน
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จครั้งนี้คือ บริษัท อินฟินิธัส บาย กรุงไทย (Infinitas by Krungthai) ซึ่งตั้งเป้าพัฒนาแอปเป๋าตังให้เป็น Thailand Open Platform เปิดกว้างไอเดียใหม่ๆ ผูกเข้าไปในแอป ไม่ว่าจะเป็นบริการด้านการเงิน การลงทุนจนไปถึงกระเป๋าสุขภาพ
วันนี้ทางทีมงานได้มีโอกาสสัมภาษณ์คุณ จักรกฤษณ์ กลิ่นสมิทธิ์ CEO ของบริษัท Arise by Infinitas ถึงความสำเร็จครั้งนี้ พร้อมกับภารกิจใหม่ในการพัฒนาคนด้านเทคโนโลยีเพื่อเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัล
เป้าหมายหลักของแอปเป๋าตัง
คุณ จักรกฤษณ์ : เราจะทำยังไงให้สังคมไทยเข้าถึงดิจิทัลได้ คนไทยทุกคนเข้าถึงดิจิทัลได้ มองทุกๆเซ็กเมนต์ ทุกๆอายุ ไม่ว่าจะเป็นเด็กนักเรียน กลุ่มที่เริ่มทำงาน นักศึกษา หรืออว่าเป็นคนทำงานหรือผู้สูงอายุก็ตาม สามารถใช้แอปพลิเคชันหรือใช้บริการด้านเทคโนโลยีของเราได้
เป๋าตังออกแบบมาให้เป็น Open platform ตอนนี้เริ่มเห็นฟีเจอร์ใหม่ๆ ไม่ใช่เกี่ยวกับธุรกรรมที่เป็นของแบงก์โดยตรงเช่น ขายของเข้ามาอยู่ในเป๋าตังด้วย มีกระเป๋าสุขภาพ ซึ่งมีประโยชน์มากๆกับคนไทย สามารถ รู้ได้เลยว่าเรามีสิทธิ์อะไรบ้างในการรักษาพยาบาล ในแต่ละอายุ ในแต่ละเพศ ซึ่งบางที่เราอาจจะไม่รู้สิทธิ์ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี เราสามารถดูได้เลยในกระเป๋าสุขภาพ

แล้ว Infinitas by Krungthai กับ Arise by Infinitas แตกต่างกันอย่างไร
คุณ จักรกฤษณ์ : ถ้าพูดถึงตัว Infinitas by Krungthai กับ Arise by Infinitas เอาแบบง่ายๆ คือ Infinitas by Krungthai จะเป็นเหมือนกับบริษัทที่เป็นฟินเทค เทคโนโลยีจะเป็นในมุมกว้าง มีหลายสกิล ตั้งแต่ PO จนไปถึงเดเวลลอเปอร์ เทสเตอร์ทั้งหมด
แต่ขาที่เป็น Arise by Infinitas เป็นเหมือน Deep tech มากกว่า เจาะแต่ละเทคโนโลยี เพราะเราต้องการสร้างบุคลากรที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Cloud, AI ,การเขียนโปรแกรม โมบายแอปพลิเคชันต่างๆ รวมถึงการออกแบบสถาปัตยกรรมในเรื่องของเทคโนโลยียังไงให้เราสามารถรองรับผู้ใช้งานจำนวน มหาศาลได้
จุดเริ่มต้น ตอนที่เราจับมือ Accenture เขาเป็นบริษัทระดับโลก สิ่งที่เราเห็นจุดแข็ง แข็งในเรื่องของการเป็นที่ปรึกษา เรื่องขององค์ความรู้ เพราะเขามี SME เยอะมากทั่วโลก ในหลายๆพื้นที่ การที่เราจับมือกับเขาเพื่อที่สร้างบุคลากร พัฒนาบุคลากรและทาเลนท์ของเรา เพราะตอนนี่ไทย ตลาดแรงงานแข่งขันกันค่อนข้างสูง น้องๆที่จบใหม่มา โอกาสที่เขาจะได้เรียนรู้น้อย เขาท้อไปก่อน
การที่เราสร้าง Arise ขึ้นมา เรามี 100 day plan เข้ามาวันแรกจนถึงวันที่ 100 จะมีกิจกรรมว่าเขาต้องทำอะไรบ้าง เรียนรู้อะไรบ้าง ตั้งแต่วันแรกที่น้องเข้ามา เราจะมีเรื่องของ On-boarding องค์กรเป็นยังไง โครงสร้างเป็นยังไงทั้งหมด จากนั้นในแต่ละวันในช่วง 100 วันแรก เขาจะเรียนรู้ว่ากระบวนการขององค์กรเป็นยังไง
ตำแหน่งที่สมัครต้องเรียนรู้ ต้องทำอะไรบ้าง ไม่ได้บอกว่าเข้ามาถึงปุ๊บเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง เรามีคอร์สเทรนนิ่งให้ด้วย สามารถเข้าร่วมในช่วงระยะเวลา 100 วัน ซึ่งใน 100 วันเราจะมีการประเมินทุกสองอาทิตย์ ว่าน้อง Happy รึเปล่าที่น้องเรียนรู้อยู่ อะไรที่ขาดไป อะไรที่น้องคิดว่าควรจะมี ก็จะมีเมนทอร์คอยประกบอยู่ตลอด
หัวใจสำคัญของ Arise by Infinitas คืออะไร?
คุณ จักรกฤษณ์ :หลักๆเป็นเรื่องของ “คน” ดีกว่า เพราะว่า Arise ไม่มีหน่วยงาน HR เราเป็น People Experience เพราะเราโฟกัสเรื่องของคนเป็นหลัก เราเปิดกว้างให้คนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะจบตรงสายเทคโนโลยีหรือไม่ก็ตาม ถ้าตรงสายก็โอเค ก็ดี น้องที่ไม่ตรงสายแต่มีความตั้งใจ ดูทัศนคติ ดูความตั้งใจ ใน Arise มีเด็กจบนิเทศ จบอักษร จบรัฐศาสตร์ก็มี เข้ามาเป็น BA (Business Analyst) ก็ได้ ก็เข้ามาเรียนรู้ตรงนั้น
เข้ามาปุ๊บเรามีคอร์สให้น้องเขาเรียนรู้ หลังจาก 100 วันแรกของเขา รวมถึงน้องมีโอกาสที่จะลงไปทำงานจริงด้วย ทำงานกลุ่มกับงานจริงๆ งานที่เรียกว่าท้าทายเขามากๆเลย เพราะบางทีระยะเวลาในการทำงานมันค่อนข้างสั้น เรื่องของการตัดสินใจ การคิดของน้องจะถูกพัฒนาอยู่ตลอดเวลา
แล้วก็จะมีส่วนที่เรียกว่า Learning Path way มันจะเป็นระยะยาวแล้ว น้องเข้ามาทำงานปุ๊บ ตอนแรกเป็น BA แต่น้องบอกว่าอนาคตอยากเป็นอย่างอื่น เป็น PM เราก็จะมีการ Coaching เขา แล้วก็เทรนนิ่งให้เขาได้เรียนรู้แล้วก็สอบ เพื่อวัดผลของตัวเอง อีกไกลไหมที่จะไปถึงบทบาทนั้นที่อยากจะเป็น มีคอร์สให้น้องๆทุกคน ในทุกๆบทบาท
ปัญหาของเด็กจบใหม่คืออะไร?
คุณ จักรกฤษณ์ : เดิมทีถ้าน้องๆจบใหม่ เข้ามาทำงานแล้วไม่มีเมนทอร์ ไม่มีเรื่องของการสร้างเขา บางคนเข้ามาถึงทำงานปุ๊บ ไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้าง ไม่เข้าใจ บางที่ก็ท้อ บางที่ก็แบบคิดว่าอันนี้ไม่ใช่แนวของเขา เขาก็จะออกแล้วไปทำอย่างอื่นแทน เราเสียบุคลากรแบบนี้ค่อนข้างเยอะมากๆในประเทศของเรา ตรงนี้จะเหมือนเป็น Incubator ให้น้องๆจบใหม่ ที่ต้องการเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง ในส่วนงานพวกเทคโนโลยีต่างๆ
เราใช้เรื่องการสื่อสารเป็นหลัก เราพูดคุยกับน้องๆทุกคน ไม่ว่าจะเป็น C-level ต้องลงไปคุยกับน้องๆว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง มีปัญหาอะไรบ้าง งานเป็นยังไบ้างติดอะไรรึเปล่า อยากได้อะไรมั้ย อยากทำอะไรมากขึ้น เรามองว่าเป็นเรื่องของการสื่อสาร ถ้าเราสื่อสารเยอะ คุยกับน้องๆเยอะ เราเข้าใจเขา เขาก็จะอยู่กับเรา
หลักๆของ Arise คือ เรื่องของคน เรามองเรื่องคน เรื่องทาเลนท์เป็นเรื่องสำคัญ ถัดมาก็จะเป็นเรื่องของเทคโนโลยี ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าเรื่องของคน เพราะเราต้องการสร้างบุคลากรที่มีความเก่งในเรื่องของเทคโนโลยี ผมมองว่าตัวคนเป็นเหมือนรากฐานที่จะขับเคลื่อนแพลตฟอร์ม เพราะถ้าคนไม่มีศักยภาพพอ จำนวนคนไม่พอ การจะทำให้แพตฟอร์มให้ใหญ่ แพลตฟอร์มที่ดีก็จะยาก การที่จะผลักดันแพลตฟอร์มใหม่ๆออกสู่ตลาด ค่อนข้างยาก บางที่ก็อาจจะมีปัญหาด้วยซ้ำในระยะยาว
ARISE มองหาบุคลากรแบบไหน?
คุณ จักรกฤษณ์ : เราต้องการคนที่ใช่ คนที่ใช่ของเราคือคนที่มีทัศนคติ มีเป้าหมายเดียวกันเพื่อที่จะพัฒนาประเทศ เรียกว่าทัดเทียมกับคู่แข่งปัจจุบัน ก็มีหลายประเทศที่โผล่ขึ้นมา จีนนี่ก็ไปละ ตอนนี้ที่เรามองก็คือ เวียดนาม นอกจากแข่งกับคู่เทียบแล้ว ประเทศรอบข้าง เราต้องแข่งกันเองในประเทศด้วย เพราะตอนนี้เรียกว่า Talent wars ในการดึงคน ช่วงแรกแรกดึงคนเก่งภายในอุตสาหกรรมเดียวกัน การเงิน แต่ตอนนี้กลายเป็นการดึงคนเก่งข้ามอุตสาหกรรม
เพราะเทคโนโลยีเองใช้ได้ทุกอุตสาหกรรม ตอนนี่ที่ดู Arise ทำได้ดีแล้วก็ดึงดูดทาเลนท์เข้ามา ตอนนี้ไม่ใช่แค่คนไทย ต้องบอกว่ามีทั้งต่างประเทศที่เข้าร่วม จีนก็สนใจ ฝั่งยุโรปก็สนใจ รวมถึงประเทศยูเครนก็สนใจเหมือนกัน
การจับมือกับ Accenture เข้ามาช่วยเติมเต็มด้านไหนได้บ้าง?
คุณ จักรกฤษณ์ : ตอนนี้เรียกมาสัมภาษณ์ละ เรียกมา On-board ด้วย Arise เป็น Joint Venture กับทาง Accenture เพราะฉะนั้นภาษาที่ใช้สื่อสารในองค์กร จะเป็นอังกฤษซะส่วนใหญ่ ก็จะเป็นการฝึกฝนอีกแบบนึงเสริมอีกนิดนึง การที่เป็น JV มีข้อดีคือ มันมีโปรแกรมแลกเปลี่ยน ในการแลกเปลี่ยนคนจาก Arise ข้ามไปทำงานที่ Accenture ในต่างประเทศ หรือข้ามไปทำงานที่ Infinitas ก็ได้ ตรงนี้จะเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ เปลี่ยวิธีกาีรคิด วิธีการทำงาน รวมทั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ
ส่วนใหญ่มักจะเป็นคนต่างชาติที่มาร่วม ทั้งของ Accenture ที่เป็นต่างชาติที่เข้าร่วม จนไปถึงหนักงานใหม่ที่เราเปิดรับ ไม่ใช่เฉพาะแค่คนไทย แล้วเราก็ยังมีสิ่งที่เรียกว่า Spoke Hub อยู่ต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นจีนหรือเวียดนาม เป็นเหมือนกับ Virtual company ที่อยู่ต่างประเทศ เราก็สามารถรับคนที่เป็นคนชาตินั้น มาทำงานกับเราได้ เราทำงานแบบ Remote ทำงานที่ไหนก็ได้แล้ว Arise กว่า 90% ทำงานแบบรีโมต ส่วนใหญ่น้องๆก็จะ WFH กันทำงานที่ไหนก็ได้ มีการมาจอยกันเพราะเวลาระดมความคิด เวลาคิดไอเดียใหม่ๆก็จะมาเจอกัน
ทรัพยากรของเราเมื่อเทียบกับเวียดนาม ผมยกตัวอย่างเวียดนามก็สร้าง Tech Talent ค่อนข้างเยอะ มีมหาวิทยาลัยที่ทำเรื่องนี้อย่างเดียวเลย หลายมหาวิทยาลัย จบปุ๊บเข้ามาทำงานในบริษัทเลย สัญญา 2 ปี ของไทยเองก็ค่อนข้างหลากหลาย
เด็กๆจบใหม่มาบางส่วที่พี่ไปสัมภาษณ์มา เขาไม่มีคนสอนให้ดี ไม่มีโค้ชที่ดี บางทีเขาทำแล้วท้อก็เลยหายไปจากตลาด สมมตเรามีอยู่ร้อยนึง เหลือรอดจริงๆคิดว่าไม่น่าเกินสามสิบ สุดท้ายเขาจะเปลี่ยนสายงานกันซะส่วนใหญ่ แล้วยิ่งสายที่มาลงเขียนโค้ดโปรแกรมมิ่งจริงๆยิ่งน้อย เพราะส่วนใหญ่มาถึงปุ๊บเขาก็จะเป็น Tester บ้าง BA บ้างอะไรอย่างนี้ พวกโปรแกรมมิ่งจะน้อย ตรงนี้ต่างจากเวียดนามและจีน อินเดียที่จะเป็นสาย Dev เยอะมาก
ตัว Arise จริงๆจะมีบางส่วนที่มาจาก Infinitas เป็นส่วนเริ่มต้น บางส่วนมาจากทาง Accenture เพื่อเข้ามาในช่วงเริ่มต้น พนักงานตอนนี้ที่เรารับเข้ามา ปีแรกเราวางแผนรับ 222 คน แต่ตอนนี้ที่ได้มา ที่ออนบอร์ดแล้ว 70 คน อยู่ในกระบวนการอีก 30 คน ในห้าปีเราต้องได้ 1500 คน
เปิดให้น้องรุ่นใหม่โชว์ศักยภาพแค่ไหนคะ?
คุณ จักรกฤษณ์ : เรามองว่าน้องๆทุกคนมีไอเดีย สามารถทดลอง เรามี sandbox ให้ คือหน่วยที่อยู่ในกลยุทธ์ ใครที่มีไอเดียก็เข้าไปคุย ขอคนจากทาเลนท์ฮับ คนตรงนั้นก็จะเข้ามาช่วย ทำต้นแบบ แล้วเข้ามาพิชชิ่งให้ผู้บริหาร ซึ่งอาจจะเป็นผู้บริหารในแบงกืหรือผู้บริหารที่อยู่ข้างนอกแบงก์ มีหลายๆตัวที่เกิดขึ้นและกำลังทำอยู่ในปัจจุบัน หลายๆตัวที่อยู่บนเป๋าตังก็มาจากความคิดน้องๆที่เขาทดลองทำ ออกไอเดียมาแล้วก็ให้โอกาสเขาทำ ลองเทสดูและคุยกับลูกค้าเขาสนใจรึเปล่า พบสนใจปุ๊บเราก็เอาขึ้น
เรามองว่าเป็นจุดที่เราแตกต่างจากบริษัทคู่แข่งหรือบริษัทที่จะมาเป็นคู่เทียบ เพราะเรามองเรื่องคน เป็นหัวใจมากกว่า เราไม่ได้มองว่าต้องทำอะไร เรามองเรื่องการพัฒนาคน ความยั่งยืน เรื่องของคนเป็นหลัก ทาเลนต์ถ้าอยู่ต่างประเทศเราจะเข้าไปคุยไปดึงตัวเข้ามาช่วย น้องจบใหม่ก็เข้ามาได้ เป็นทาเลนต์เหมือนกัน เราสามารถพัฒนาให้น้องเป็นทาเลนต์ได้เหมือนกัน เพราะมันเป็นส่วนผสมระหว่างทาเลนต์ที่มาจากต่างประเทศ SME ที่มาจากต่างประเทศ แล้วก็น้องๆจบใหม่ที่อยู่ในเมืองไทย หลายมหาลัยจะมีโอกาสมาร่วมกับ Arise พัฒนาศักยภาพของตัวเองร่วมกับผู้เชี่ยวชาญและมืออาชีพที่มาจากต่างประเทศด้วย ทุกคนที่เข้ามาไม่ว่าจะเป็นจีน ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น วัฒนธรรมไม่เหมือนกันเลย ความคิดไม่เหมือนกันแต่การทีวัฒนธรรมที่ผสมกัน สิ่งสำคัญคือ Open Mideset มีอะไรสามารถพูดได้ แชร์ได้ทั้งหมด ต่างชาติมัอะไรก็ยกมือแล้ว ตรงนี้ทำให้เด็กไทยกล้าแสดงออกมากขึ้น กล้าพูด กล้าคิด กล้าตัดสินใจมากขึ้นในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ
มองว่า ARISE ทำงานเหมือนเป็นครอบครัวหรือไม่?
คุณ จักรกฤษณ์ ส่วนตัวที่คิดไว้ไม่เหมือนครอบครัว เพราะครอบครัวมีหลายๆอย่างที่ประณีประนอม มองเหมือนกับเป็นทาเลนท์ เป็นอาร์มี่มากกว่า เราทำงานด้วยกัน เวลาเราล่าเหยื่อเราล่าด้วยกันทั้งหมด ไม่ล่าคนเดียว ทำงานเป็นทีม ทุกคนเรียกว่าเป็นจิ๊กซอว์ที่จะมาเติมเต็มกันและกัน อย่างพี่จะคอยบอกน้อง ว่าคุณไม่ได้เก่งเท่าคนนี้ แต่ไม่ใช่ว่าคุณไม่มีค่า คุณมีประโยชน์ คุณมีความเก่งของคุณ เป็นฟันเฟือง เป็นจิ๊กซอว์ที่จะต่อภาพนั้นให้เต็มได้ไม่ใช่ว่าฉันไม่เก่งเท่าเขาแล้วรู้สึกด้อย หน้าที่ของหัวหน้าคือดึงศักยภาพของเขาออกมาในจุดที่เขาแข็ง ไม่ใช่จุดที่เขาด้อย เพื่อมาเติมเต็มภาพให้เต็ม
วางแผนในอนาคตไว้อย่างไร?
คุณ จักรกฤษณ์ เรื่องแรกเลยคือ เราต้องสร้างคนที่เป็นทาเลนต์ก่อน ไม่ว่าจะเป็นภายในประเทศหรือไซต์ต่างๆที่อยู่ต่างประเทศ จากนั้นถึงจะมองเรื่องของแพลตฟอร์มที่เป็นแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ แล้วก็เป็นเรื่องของบริการ ไม่ว่าจะเป็นบริการแบบมืออาชีพ บริการในเรื่องของแพลตฟอร์มเอง เพื่อทำให้ Arise ขยายและเติบโตไปได้ในอนาคต
ตัว Arise by infinitas ตอนนี้เปิดรับพนักงาน น้องๆ ไม่ว่าจะเป็นน้องๆจบใหม่เอง หรือว่าเป็นทาเลนท์ที่ทำอยู่ในสายงานต่างๆ ตรงนี้เข้ามาจอย Arise กันได้ เรามองในเรื่องของคน เรียกว่าเป็นสิ่งสำคัญ เป็นแกนหลักขององคืกร เราต้องการพัฒนาบุคลากร พัฒนาคนเพื่อให้เป็นทาเลนท์ ช่วยให้ประเทศของเราสามารถก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัล ไปและแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านและนานาประเทศได้ ถ้าสนใจก็มาจอยกันที่ Arise ได้ มีทั้ง Facebook ของ Arise มีทั้งอีเมล มีเว็บไซต์ด้วย รวมทั้ง LinkedIn ก็มีเหมือนกัน