สายสุขภาพ สายเฮลตี้ ถ้าให้ดีไอเทมที่จะมีต้องเจ๋ง และแน่นอนว่าหนึ่งไอเทม หรือ แกดเจ็ตที่สายสุขภาพต้องไม่พลาดเลย นั่นก็คือ … สมาร์ทวอทช์ แต่จะให้ดีกว่าก็ต้องเป็นสมาร์ทวอทช์ที่แบตอึด แบตทน ฟีเจอร์ครบ เสียเงินแล้วจบในทีเดียว

วันนี้เราขอพูดถึง สมาร์ทวอทช์อีกหนึ่งแบรนด์ที่มาแรงไม่แพ้แบรนด์อื่นๆ อย่าง Fitbit Versa2 ซึ่งนับว่าเป็นแบรนด์ที่หลายคนรู้จักกันเป็นอย่างดี และในรุ่นนี้สิ่งที่เกตชอบมากเลยก็เป็นเรื่องของแบตเตอรี่นี่แหละค่ะ ที่เคลมว่าอยู่นานถึง 4 วัน แต่..ใช้งานจริงๆ แล้วอยู่ได้ยาวเป็น 10 วันเลยทีเดียว

แกะกล่อง Fitbit Versa 2 

Fitbit Versa 2 Dailygizmoภายในกล่องประกอบได้ด้วย  ตัวเรือนสมาร์ทวอชท์ Fitbit Versa 2 พร้อมสาย Size S / สายเปลี่ยน Size L / ที่ชาร์จแบบสาย USB  / คู่มือการใช้งาน

Fitbit Versa 2 Dailygizmo

ดีไซน์ดี เหมาะแก่การใช้งานทุกโอกาส 

ถ้าให้พูดถึงเรื่องของการดีไซน์ตัวนี้ต้องบอกว่าประทับใจตั้งแต่แรกพบเลยค่ะ เพราะรูปลักษณ์ของเขานั้นเหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก สวยหรู ดูดี สมาร์ท ขนาดหน้าจอมาแบบ 300×300 พิกเซล หน้าจอเป็น Amoled Display  ที่ให้สีคมชัด 

Fitbit Versa 2 Dailygizmoการใช้งาน : ใช้งานง่ายมากเพราะหน้าจอเป็นแบบทัชสกรีน มีปุ่มด้านซ้ายมือ ปุ่มเดียวที่ทำหน้าที่เป็นปุ่ม back หรือปุ่ม home ในการใช้งาน ส่วนอีกฝั่งเป็นรูเล็ก คือ ไมค์ สำหรับการสั่งงานด้วยเสียง หรือ voice control จ้า เพราะรุ่นนี้เขามาพร้อมกับการสั่งงานด้วยเสียงของ Amazon หรือ Alexa นั่นเอง 

ด้านหลังของตัวเครื่องจะเป็นเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ และเป็นจุดสำหรับชาร์จแบตให้ตัวเครื่อง 

เริ่มต้น SetUp ใช้เวลานานไปหน่อย

Fitbit Versa 2 Dailygizmoโดยส่วนตัวแล้วชอบเรื่องของการดีไซน์มากๆ แต่ติดอยู่ที่เวลา Set up เริ่มต้นใช้งาน ที่ใช้เวลาค่อนข้างนานพอสมควร ถ้าให้จับเวลาก็เกือบ 30 นาทีได้ เพราะก่อนที่จะเข้าสู่การใช้งานต่างๆ เริ่มต้นต้องมีการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน Fitbit ก่อน ถึงจะเริ่มใช้งานได้ รอยาวไป….แต่!ถ้าผ่านจุดนี้ไปได้ทุกอย่างจะราบรื่นมากค่ะ 

ฟังก์ชันเพียบตอบโจทย์สายสุขภาพ

ฟังก์ชันการใช้งานของรุ่นนี้มีหลายฟังก์ชันมาก แต่โดยส่วนตัวจะใช้งานบ่อยๆ อยู่ไม่กี่ฟังก์ชัน ซึ่งเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังต่อจากนี้ว่าการใช้งานที่ชอบมากๆ และมันดีจริงๆ มีอะไรบ้าง

ส่วนฟังก์ชันที่มีมาพร้อมตัวเครื่องทั้งหมด มีดังนี้
Exercise / Timer /Alarms / Spotify / Relax / Weather / Music / Settings / Deezer / Strava / Tips
Fitbit Versa 2 Dailygizmo

เจาะลึกโหมดออกกำลังกายที่ให้มาแบบจัดเต็ม

อย่างที่บอกไปค่ะ ตัวนี้เหมาะมากๆ สำหรับสายสุขภาพที่ออกกำลังกายบ่อย ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ วิ่งบนลู่ เวท ออกกำลังกายแบบจับเวลา และ Workout โดยในโหมด Exercise นี้ ส่วนตัวมีโอกาสได้ใช้งาน Workout และ Swim ซึ่งจะพูดถึงถัดไปว่าใช้จริงแล้วเป็นยังไง

Fitbit Versa 2 Dailygizmoโดยส่วนตัวคิดว่าโหมดการออกกำลังกายจัดมาให้แบบจัดเต็มและครอบคลุมการออกกำลังกายเกือบทุกด้าน ที่ฮิตๆ ก็ดูเหมือนว่าจะเป็น วิ่ง ว่ายน้ำ และ Workout อย่างแน่นอน

ใช้จริง 1 เดือนเล่นไม่ครบแต่พบว่าแม่นยำมาก

มาถึงตรงนี้จะเล่าถึงการใช้งานจริงๆ ที่ได้สัมผัสมา ต้องบอกก่อนว่าส่วนตัวเป็นคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำและมองหาสมาร์ทวอทช์ที่ตอบโจทย์มาตลอดจนมาทดลองใช้เจ้า Versa2 ตัวนี้ ลองทดสอบในฟีเจอร์ Exercise โหมด Workout กับการออกกำลังแบบ Personal Training ในระยะเวลา 1 ชม.

Fitbit Versa 2 Dailygizmoผลลัพธ์ที่ได้คือ Heart Rate ของเราขณะออกกำลังรับรู้และสัมผัสได้ถึงความเหนื่อยที่ตรงจุดมากๆ เพราะตอนเล่นแล้วรู้สึกเหนื่อยจนหัวใจเต้นเร็วเหมือนจะหลุดออกมาเต้นข้างนอกให้ได้ หมุนข้อมือมาดู Heart Rate ในบางครั้งพุ่งไปแล้วเกือบแตะ 200 bpm ก็มี ซึ่งตรงจุดนี้สำหรับเรา เราคิดว่ามันตรงและแม่นยำมาก ๆ หรือแม้แต่ข้อมูลการเผาผลาญพลังงานก็แม่นยำเช่นเดียวกัน ทำให้รู้สึกว่าที่เล่นไปแล้วเหนื่อยโครตๆ ไม่เสียแรงเปล่าเลย

Fitbit Versa 2 Dailygizmoและอีกโหมดออกกำลังกายที่ใช้คือ ว่ายน้ำ ตัวนี้ก็วัดได้แม่นยำเช่นเดียวกัน อ๊ะบอกก่อนนะคะ ว่ารุ่นนี้ลงน้ำลึกได้ 50 เมตร จะโดนน้ำ โดนเหงื่อ ก็หายห่วงได้ สบายมาก

ส่วนอีกโหมดที่อยากพูดถึงมากที่สุดในรุ่นนี้ คือ Sleep Mode  

Fitbit Versa 2 Dailygizmoในรุ่นนี้เขามีฟีเจอร์ที่ตรวจจับการนอนของเราว่ามีประสิทธิภาพการนอนมากน้อยแค่ไหน รวมไปถึงรู้ได้ด้วยว่าใน 1 วัน หลับลึก หรือ ตื่นกลางดึกเป็นระยะเวลาเท่าไหร่ และให้คะแนนการนอนด้วยว่าวันนั้นการนอนของเราเป็นอย่างไร เพื่อให้ผู้ใช้งาน ได้รู้ตัวเอง 

Fitbit Versa 2 Dailygizmoจากการทดลองเองจริงๆ บอกเลยว่าอึ้งมากกับข้อมูลตรงนี้ เพราะในแต่ละคืนเราคิดว่าการนอนของเรานั้นดีที่สุดแล้ว แต่ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาปรากฎว่า เราหลับลึกไปแค่ไม่กี่ชม. ดังภาพด้านล่างนี้ แสดงให้เห็นว่าเวลาในการนอนของเราเป็นอย่างไร อย่างข้อมูลที่ปรากฏ พบว่าเราหลับลึกไปแค่ 39 นาที และเข้านอนเวลา 00:01 น. ตื่นนอนเวลา 06:59 น.

Fitbit Versa 2 Dailygizmoข้อดีของแอปฯ นี้ให้คะแนนเรื่องการนอนของเราด้วยนะคะ อย่างตามสถิติรูปด้านบนนี้พบว่าเราได้คะแนนเพียงแค่ 64 คะแนนเท่านั้น ซึ่งถือว่ายังไม่ดีเท่าไหร่ ถ้าให้ดีต้องอยู่ในเกณฑ์คะแนนราวๆ 80 – 90 คะแนน

ฟังก์ชันนี้ยังไม่โดน 

อย่างที่บอกไปค่ะ ในรุ่นนี้มีฟังก์ชันที่หลากหลายมากๆ และจุดเด่นของรุ่นนี้ที่เขาเพิ่มมาด้วยนั้นก็คือ เรื่องการสั่งงานด้วยเสียง หรือ Alaxa แต่สิ่งที่ยังรู้สึกว่าติดๆ อยู่ นั่นก็คือเรื่องของการทำงาน ยังไม่สามารถระบุได้ว่าต้องสั่งงานอย่างไร

รวมไปถึงฟังก์ชันการเล่นเพลงผ่านแอปพลิเคชันอย่าง Spotify ที่ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องใช้งานได้เพียงแค่ Spotify Premium เท่านั้น แต่เรายังไม่ได้ไต่ระดับเป็น Premium เลยอดฟังตรงนี้ไป แต่ภาพรวมการมีแอปพลิเคชันนี้ก็ช่วยสร้างความเพลิดเพลินได้อยู่แหละ

fitbit versa2 Fitbit เป็นสมาร์ทวอทช์ที่ยังไม่รองรับภาษาไทย เพราะฉะนั้นการแจ้งเตือนต่างๆ ที่เกิดขึ้น จะรองรับแค่ภาษาอังกฤษเท่านั้น ส่วนตัวอยากให้มีภาษาไทย เผื่อว่าการใช้งานจะสนุกมากกว่านี้  

6 เรื่องเด่นสุดใน Versa2

โดยส่วนตัวมองว่าเป็นหนึ่งสมาร์ทวอทช์ที่คุ้มค่าสำหรับสายสุขภาพเลยที่เดียว โดยสำหรับเราในรุ่นนี้สิ่งที่คิดว่าเป็นจุดเด่นมากที่สุด มีด้วยกันถึง 6 เรื่อง คือ
1 แบตเตอรี่อึด ทึก ทน ใช้ได้นาน ใช้ได้จริง อยู่ยาวไป
2 จะนั่ง จะนอน ใช้ชีวิตประจำวัน ตรวจวัดชีพจรตลอด 24 ชั่วโมง 
3 ติดตามกิจกรรมระหว่างวัน เช่น ก้าวเดิน และการเผาผาญ
4 ติดตามตรวจวัดคุณภาพการนอนหลับอัตโนมัติ ว่าเป็นอย่างไร
5 แจ้งเตือนให้แอคทีฟตลอดทั้งวัน นั่งนานๆ ระวังเป็นออฟฟิศซินโดรม
6 มีโหมดออกกำลังกายฟิตเนสที่ครอบคลุม 

ใครชอบก็ไปตำ ในรุ่นทั่วไปราคาอยู่ที่ 7,990 บาท และ รุ่น Special edition ราคาจะอยู่ที่ 8,990 บาท

สรุป

โดยส่วนตัวจากการใช้งานเองจริงๆ 1 เดือนชอบมากสุด คือ เรื่องแบตเตอรี่ ไปเที่ยวไหนก็ได้ไม่ต้องกังวลว่าจะลืมสายชาร์จหรือไม่ ส่วนการชาร์จก็ชาร์จได้ไวไม่ต้องรอนาน รองลงมาคือเรื่องการฟีเจอร์การออกกำลังกายที่แม่นยำมากสุดๆ จากการตามหาสมาร์ทวอทช์เพื่อออกกำลังกายมานาน ตัวนี้ตอบโจทย์มากๆ และอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ชอบก็คือ SleepMode ที่ให้รู้ได้ว่ากลางดึกตื่นบ่อยแค่ไหน นอนลึกแค่ไหน จะได้ปรับปรุงเรื่องการนอนของตัวเองต่อไป

ส่วนสิ่งที่ยังติดอยู่ก็น่าจะเป็นเรื่องของฟังก์ชันการเล่นเพลงผ่าน Spotify ที่อยากลองมากๆ และ การรองรับภาษาไทยที่เชื่อว่าอนาคตอาจจะต้องมาอย่างแน่นอน