ปัจจุบันสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นในบ้านเรา การล็อคดาวน์คงจะไม่สามารถกระทำได้เหมือนช่วงก่อนหน้าแม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจะพุ่งสูงขึ้น โดยหนึ่งในปัจจัยที่ไม่มีการล็อกดาวน์นอกจากความจำเป็นด้านเศรษฐกิจแล้วนั่นก็คือการที่เราเริ่มมีวัคซีนให้ฉีดกัน

ทั้งนี้จะไม่ขอวิพากษ์ถึงประเด็นการจัดหาวัคซีน แต่วันนี้เราจะนำท่านไปทำความรู้จักกับวัคซีนแต่ละประเภท ข้อดี ข้อเสีย รวมถึงอนาคตของวัคซีนชนิด mRNA ที่กำลังมาแรงเพราะมันให้ประสิทธิภาพในการสร้างภูมิคุ้มกันที่สูง และรู้หรือไม่ว่าเรากำลังใกล้จะมีวัคซีนเอดส์ให้ได้ใช้กันแล้ว โดยหนึ่งในวัคซีนเอดส์ที่มีประสิทธิภาพสูงนั้นก็จะเป็นวัคซีนชนิด mRNA นั่นเอง

รู้จักวัคซีนกันก่อน

ปัจจุบันคงไม่มีใครไม่รู้จักคำว่าวัคซีน เพราะตั้งแต่เกิดเด็กสมัยนี้ก็ต้องได้รับวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่าง ๆ ซึ่งเจ้าวัคซีนนี้ได้ช่วยให้มนุษยชาติรอดพ้นจากโรคร้ายมาได้มากมาย จนกระทั่งทำให้หลายโรคร้ายที่เคยฆ่าผู้คนนับล้านได้สาบสูญไปจากโลกนี้

แล้ววัคซีนมันมีกี่แบบกัน?

วัคซีนเมื่อก่อนนั้นมีด้วยกันหลายประเภท

  • วัคซีนเชื้อตาย ประเภทนี้คือวัคซีนที่ทำการเพาะเลี้ยงเชื้อแล้วฆ่าให้ตายก่อนฉีดเข้าสู่ร่างกาย ซากเชื้อเหล่านี้จะทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายเรารู้จักเชื้อโรคและสร้างภูมิคุ้มกันไว้สู้กับเชื้อโรคในเวลาที่ต้องเจอกับเชื้อจริง ๆ ในอนาคต
  • วัคซีนเชื้อเป็น ประเภทนี้คือวัคซีนที่ทำการเพาะเลี้ยงเชื้อแล้วทำให้อ่อนแอจนไม่สามารถก่อให้เกิดโรคได้แล้วนำมาฉีดเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งก็จะเป็นการฝึกให้ภูมิคุ้มกันรู้จักกับเชื้อโรคและต่อสู้กับเชื้ออ่อนแอเหล่านี้และจะจำวิธีการสู้กับเชื้อโรคเหล่านั้นในอนาคต
  • วัคซีนที่ใช้ส่วนประกอบโปรตีนของไวรัส วัคซีนประเภทนี้จะใช้การสังเคราะห์โปรตีนที่เป็นโครงสร้างส่วนหนึ่งของไวรัสหรือเปลือกหุ้มไวรัสแต่ไม่มีรหัสพันธุกรรมที่ทำให้เกิดโรคบรรจุอยู่ภายใน เมื่อฉีดเข้าร่างกายก็กระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายเรารู้จักหน้าตาของไวรัสต่าง ๆ และรู้วิธีการรับมือเมื่อเกิดการติดเชื้อจริง

แต่ก็มีเชื้อไวรัสบางชนิดที่ยากต่อการผลิตวัคซีนเพราะมันกลายพันธ์ุเร็วมาก ๆ อย่างเช่น เชื้อไวรัส HIV สาเหตุของโรคเอดส์ที่ปัจจุบันเราต่อสู้กับมันมาเกือบครึ่งศตวรรษแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถผลิตวัคซีนหรือยาที่รักษาโรคเอดส์ให้หายขาดได้ จึงได้มีการพัฒนาวิธีการผลิตวัคซีนรูปแบบใหม่ขึ้นมาซึ่งก็มีอยู่ด้วยกันหลากหลายรูปแบบ

  • Viral vector วัคซีน ใช้วิธีการเอาสารพันธุกรรมของไวรัสใส่เข้าไปในไวรัสที่จะเป็น Vector หรือตัวฝากที่ไม่ก่อให้เกิดโรคในคน โดยเมื่อเข้าสู่เซลล์ร่างกายก็จะทำการถอดรหัสเป็น RNA ส่งไปยังไรโบโซมโรงงานผลิตโปรตีนในเซลล์ของเราเพื่อให้ทำการการผลิตโปรตีน Antigen (โมเลกุลของโปรตีนที่เป็นสิ่งแปลกปลอมสำหรับร่างกาย) ของไวรัสออกมากระตุ้นภูมิคุ้มกัน
  • mRNA วัคซีน จะใช้ RNA ในการนำส่งข้อมูลการสร้าง protein บางส่วนของไวรัสไปยังไรโบโซมโรงงานผลิตโปรตีนในเซลล์ของเรา และเมื่อร่างกายเราผลิตโปรตีนนี้ออกมาก็จะทำหน้าที่เป็น Antigen กระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันเรารู้จักและพร้อมสู้กับเชื้อไวรัสที่เข้าสู่ร่างกาย
  • DNA วัคซีน ใช้ส่วนหนึ่งของ DNA ไวรัสมาผลิตวัคซีนรูปแบบของ Plasmid (กลุ่มเส้นสายของ DNA วงแหวนที่ไม่ได้อยู่ในโครโมโซมของเซลล์ร่างกายเรา) ซึ่งจะนำส่งข้อมูลการสร้างโปรตีน Antigen ในร่างกายและทำให้เซลล์ภูมิคุ้มกันเรารู้จักกับ Antigen ของเชื้อไวรัสก่อนต้องลงสู้ศึกจริง
  • Antigen-Presenting cells ใช้เซลล์ที่มี Antigen ฉีดเข้าสู่ร่างกายเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน

ซึ่งวัคซีนแบบใหม่นี้ช่วงก่อนหน้าโควิดระบาดส่วนใหญ่ยังอยู่ในระหว่างการพัฒนา แต่ก็ได้รับการผลักดันให้นำมาสู่การใช้งานจริงเร็วขึ้นด้วยสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 เพราะวัคซีนแบบใหม่นี้ให้ประสิทธิภาพในการสร้างภูมคุ้มกันสูง ดังนั้นวัคซีนประเภทนี้บางตัวจึงยังมีผลข้างเคียงตามข่าวที่เราได้ยินกัน ทำให้ประเด็นเรื่องความปลอดภัยในการใช้งานของวัคซีนประเภทนี้ยังเป็นคำถามที่รอการพิสูจน์อยู่

วัคซีนโควิด-19 ในปัจจุบัน

หลายคนคงอยากรู้เรื่องวัคซีนขึ้นมากในช่วงนี้ เพราะใคร ๆ ก็อยากให้สถาการณ์คลี่คลายเสียที งั้นมาสรุปกันหน่อยว่าวัคซีนโควิด-19 ปัจจุบันนั้นมีอะไรบ้าง ซึ่งก็จะขอกล่าวถึงที่มีออกใช้งานแล้วกับที่กำลังของ Approve จาก FDA ส่วนตัวอื่น ๆ ที่กำลังพัฒนายังไม่ขอพูดถึง

ปัจจุบันวัคซีนโควิดมีด้วยกัน 4 ประเภท

  • Viral vector ได้แก่ AstraZineca (อังกฤษ), Spuknic V (รัสเซีย), Johnson & Johnson (เบลเยียม)
  • RNA ได้แก่ Pfizer, Moderna (อเมริกา)
  • Whole virus (มีทั้งเชื้อเป็นและเชื้อตาย) ได้แก่ Sinovac (จีน), Sinopharm (อินเดีย)
  • Protein Subunit (ใช้ส่วนประกอบของไวรัส) ได้แก่ Novavac (อเมริกา), China academy of science (จีน)

ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีทั้งแบบเก่าและแบบใหม่ผสมกัน โดยผลทดสอบประสิทธิภาพนั้นพบว่าวัคซีนแบบใหม่ให้ผลในการสร้างภูมิคุ้มกันที่สูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด(ยกเว้นของ Johnson & Johnson) แต่ก็แลกกับความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ ซึ่งบางเคสที่เราได้ยินข่าวถึงอาการลิ่มเลือดอุดตันซึ่งมีเคสที่เสียชีวิตกันเลยทีเดียวถึงแม้ว่ายังพิสูจน์ความเชื่อมโยงของผลข้างเคียงได้ไม่ชัดเจนก็ตาม

แต่ทั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องประสิทธิภาพในการสร้างภูมิคุ้มกันเท่านั้นที่เราควรพิจารณา ยังมีอีกหลายปัจจัยที่เราจะเลือกซื้อเลือกฉีดวัคซีนแต่ละตัว ทั้ง ราคา ความยากง่ายในการผลิตและเก็บรักษา ซึ่งวัคซีนแต่ละประเภทมีข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกัน

Viral vector วัคซีน

  • มีข้อดีคือผลิตจำนวนมากได้ง่ายเพราะทำจากโรงงานมาเป็น DNA และมีความคงทนกว่าสามารถเก็บได้ในอุณหภูมิ 2-8 องศา(ตู้เย็นธรรมดา) ราคาจะถูกเพราะทำได้จำนวนมาก
  • แต่วัคซีนนี้เป็นชนิดใหม่ผลข้างเคียงระยะยาวจึงยังไม่ทราบรวมถึงมีประเด็นที่ต้องคำนึงอีกประการหนึ่งคือขั้นตอนที่ข้อมูลรหัสพันธุกรรมที่ส่งผ่านนิวเคลียสของเซลล์เราซึ่งไม่ทราบว่าจะมีการรวมตัวเข้ากับ DNA ของมนุษย์และอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงเป็นโรคทางพันธุกรรมต่อไปหรือไม่ ซึ่งก็ได้แต่หวังว่าจะไม่เป็นอย่างนั้น ดังนั้นผลระยะยาวก็คงต้องติดตามกันต่อไป รวมถึงประสิทธิภาพการสร้างภูมิคุ้มกันที่ยังไม่ชัดเจนว่ามีประสิทธิภาพเท่า RNA วัคซีน (ทั้งของ AstraZineca และ Johnson & Johnson)

RNA วัคซีน

  • ข้อดีของวัคซีนชนิดนี้คือทำได้ง่ายและเป็นจำนวนมากอย่างรวดเร็วเพราะทำในโรงงาน กระตุ้นภูมิต้านทานได้สูง
  • ข้อดีอีกข้อคือวัคซีนชนิดนี้สามารถปรับแต่งเพื่อรับมือการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ได้เร็ว
  • ข้อเสียคือ RNA สลายตัวได้ง่าย ต้องเก็บรักษาที่อุณหภูมิต่ำมาก ๆ และตัววัคซีนเองมีราคาแพงที่สุดเมื่อเทียบกับวัคซีนประเภทอื่น
  • และวัคซีนชนิดนี้เป็นชนิดแรกที่ใช้ในมนุษย์ อาการข้างเคียงหลังฉีดพบได้บ่อยกว่าวัคซีนที่ทำโดยเทคนิคแบบเก่า เช่นมีไข้ ปวดเมื่อย และผลระยะยาวคงต้องรอการศึกษาต่อไปเช่นติดตามเป็นปีหรือหลายปี

Whole virus วัคซีน

  • ข้อดีคือวิธีการทำเป็นวิธีที่เรารู้กันมาแต่โบราณ ในเรื่องความปลอดภัยเป็นเชื้อตายสามารถใช้ในคนที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ภูมิคุ้มกันต่ำได้ เชื้อไม่ไปเพิ่มจำนวน แต่การกระตุ้นภูมิต้านทานจะได้ระดับต่ำกว่าวัคซีนที่กล่าวมาข้างต้น
  • ข้อเสียคือการผลิตจำนวนมากจะทำได้ยาก เพราะไวรัสชนิดนี้เป็นไวรัสก่อโรคการจะเพาะเลี้ยงเชื้อต้องทำในห้องชีวนิรภัยระดับสูงทำให้ต้นทุนในการผลิตสูง อย่างเราจะเห็นได้ว่าวัคซีนไวรัสตับอักเสบ เอ ไม่สามารถลดราคาลงให้ถูกลงได้ ในทำนองเดียวกันการผลิตจำนวนมากของวัคซีนโควิด-19 ชนิดเชื้อตายก็จะมีขีดจำกัดเช่นกัน

ปัจจุบันวัคซีนโควิด-19 ส่วนใหญ่ต้องทำการฉีด 2 เข็มโดยต้องมีระยะเวลาห่างจากเข็มแรกพอสมควรเพื่อการกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ได้ผลสูงสุด(ตามแต่ชนิดวัคซีน) ยกเว้นของ Johnson & Johnson ที่ฉีดเพียงเข็มเดียว และประเทศที่ประสบความสำเร็จในการฉีดวัคซีนให้กับพลเมืองของตนมากพอที่จะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่แล้วก็คือ อิสราเอล เซเชลส์และภูฏาน ซึ่งสองประเทศหลังนี้ทำได้เร็วเพราะมีจำนวนประชากรน้อยด้วยส่วนหนึ่ง

mRNA วัคซีน ศักยภาพที่เปี่ยมล้นและจะมาช่วยให้เรามีวัคซีนเอดส์ใช้ในอนาคตอันใกล้?

ก่อนไปต่อขออธิบายถึงวัคซีน mRNA ซะหน่อย ว่าเขาทำมายังไง และวัคซีนชนิดนี้มันทำให้เรามีภูมิคุ้มกันได้อย่างไร

  1. นักวิทยาศาสตร์จะทำการศึกษา DNA ของไวรัสโควิด-19 (ที่จริงแล้วรหัสพันธุกรรมของไวรัสโควิด-19 เป็น single strain แต่เราต้องนำมาทำเป็น DNA เพื่อให้สามารถทำเป็น mRNA ต่อได้) เพื่อหาว่าส่วนไหนที่ควบคุมการสร้าง Spike Protein ซึ่งเป็นกลุ่มก้อนโปรตีนที่ทำให้ตัวโคโรนาไวรัสนี้มีลักษณะเหมือนมีหนามแหลมรอบตัว และเจ้า Spike Protein นี้ก็ทำหน้าที่เหมือนกุญแจผีในการไขประตูเข้าไปในเซลล์ร่างกายของเราเพื่อยึดครองและเปลี่ยนให้เป็นโรงงานผลิตไวรัส และทำสำเนารหัสพันธุกรรมส่วนดังกล่าว
  2. เมื่อได้สำเนารหัสพันธุกรรมส่วนที่ต้องการแล้วก็จะแปลงรหัสพันธุกรรมจาก DNA เป็น RNA ซึ่งเจ้า RNA นี้จะทำหน้าที่เป็น messenger RNA ในการนำส่งรหัสพันธุกรรมไปยังเซลล์ในร่างกายเรา
  3. mRNA จะถูกหุ้มด้วยเปลือกที่ทำมาจาก Lipid Nanoparticle เพื่อป้องกันไม่ให้ mRNA สลายตัวไปก่อนที่ส่งข้อมูลเข้าสู่เซลล์ร่างกายเราได้
  4. ซึ่งเมื่อฉีดเข้ากล้ามเนื้อเปลือก Lipid พร้อม mRNA จะเข้าสู่เซลล์กล้ามเนื้อและนำส่ง mRNA เข้าสู่เซลล์ (วัคซีนประเภทนี้จะฉีดเข้ากล้ามเนื้อ)
  5. และ mRNA ก็จะถูกส่งไปยังไรโบโซมอวัยวะภายในเซลล์ที่ทำหน้าที่ผลิตโมเลกุลโปรตีนต่าง ๆ ซึ่งเมื่อได้พิมพ์เขียวสำหรับการผลิตแล้วไรโบโซมก็จะเริ่มการผลิต Spike Protein ซึ่งเป็น Antigen (โมเลกุลของโปรตีนที่เป็นสิ่งแปลกปลอมสำหรับร่างกาย) ของไวรัสโควิด-19 ออกมาก่อนถูกส่งออกนอกเซลล์
  6. Antigen ที่ผลิตขึ้นนี้ก็จะไปกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันและทำให้ร่างกายเรารู้จักและพร้อมที่จะรับมือกับเชื้อโควิด-19

รู้ไหมครับ นับตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของโควิด-19 ที่จีน ข้อมูลพันธุกรรมของไวรัสโควิด-19 นั้นก็ถูกส่งไปยังห้องวิจัยของบริษัท BioNTech ที่อเมริกา รวมถึงห้องทดลองของมหาวิทยาลัย Cambridge ซึ่งร่วมวิจัยกับ Moderna และด้วยข้อมูลรหัสพันธุกรรมทีมผู้เชี่ยวชาญสามารถทำการออกแบบวัคซีนได้เสร็จภายใน 2 วัน ทำให้ BioNTech สามารถผลิตวัคซีนพร้อมทดสอบในระยะแรก 11 วันก่อนที่ไวรัสโควิด-19 จะแพร่ไปถึงอเมริกาเสียอีก

ดังนั้นแล้ว mRNA วัคซีนนี้จึงสามารถออกแบบและผลิตให้เข้ากับไวรัสที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและยังปรับแต่งได้เมื่อไวรัสมีการกลายพันธุ์ รวมถึงการที่ mRNA ส่งข้อมูลการผลิต Antigen ไปยังไรโบโซมโดยตรงลดความเสี่ยงที่จะไปทำให้พันธุกรรมของมนุษย์เราเกิดการกลายพันธุ์จากการรวมกันกับสายพันธุกรรมของไวรัส

เป็นที่มาว่าการพัฒนาวัคซีนเอดส์ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่ขึ้นชื่อว่ากลายพันธุ์ได้เร็วที่สุดตัวหนึ่งที่เราเคยรู้จักอาจต้องเป็น mRNA วัคซีน

โดยผลการทดสอบวัคซีนเอดส์ตัวล่าสุดที่เปิดเผยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานั้นให้เป็นที่น่าพอใจในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันประเภทพิเศษที่สามารถต่อกรกับไวรัส HIV ให้กับกลุ่มอาสาสมัครมากกว่า 97% เลยทีเดียว ซึ่งลำดับถัดไปทีมพัฒนาวัคซีนเอดส์นี้ก็จะร่วมมือกับ Moderna ในการออกแบบและผลิตวัคซีนโดยใช้เทคนิค mRNA ต่อไป

ทั้งนี้วัคซีนโควิด-19 และวัคซีนเอดส์นี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของ mRNA วัคซีน เพราะมันอาจสามารถพัฒนาต่อยอดไปเป็นวัคซีนสำหรับรักษาโรคมะเร็ง รวมถึงโรคทางพันธุกรรมต่าง ๆ ได้อีกด้วย

ปัญหาของ mRNA วัคซีน และแนวทางการจัดการ

แน่นอนว่าปัญหาใหญ่ของ mRNA วัคซีนก็คือ การเก็บรักษาและขนส่ง เพราะมันต้องเก็บรักษาภายใต้อุณหภูมิที่เย็นจัด (-20 องศา สำหรับวัคซีนของ Moderna และ -70 องศาสำหรับวัคซีนของ Pfizer) แล้วทำไมต้องเย็นจัดขนาดนั้น?

ที่ต้องเย็นจัดก็เพื่อรักษาสภาพวัคซีนเพราะว่าตัว mRNA นั้นถูกหุ้มไว้ในถุง lipid nanoparticle ซึ่งก็คือถุงไขมันบางเฉียบนั่นเอง ทั้งนี้ที่ต้องเป็น lipid nanoparticle เพราะว่านอกจากจะรักษาสภาพของ mRNA ไว้ได้แล้วมันยังช่วยกระตุ้นการตอบสนองของภูมิคุ้มกันต่อวัคซีนด้วย

แต่การจะแช่เย็นโมเลกุลไขมันเพื่อให้มันไม่เกาะตัวกันหรือเสียสภาพนั้นต้องใช้ความเย็นจัด ๆ ซึ่งก็ต้องใช้พลังงานสูงมากด้วยในการสร้างห้องเย็นที่มีอุณหภูมิติดลบต่ำขนาด -20 ถึง -80 องศาเซลเซียส

แม้จะมีความพยายามในการเพิ่มอุณหภูมิเก็บรักษาไว้ที่ -20 องศาแต่ก็พบว่าสามารถเก็บรักษาวัคซีนไว้ได้เพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น

ดังนั้นเหล่าบริษัทยาต่าง ๆ จึงพยายามพัฒนาเทคนิคในการสร้างถุงหุ้ม mRNA ที่ทนอุณหภูมิสูงขึ้น โดยหนึ่งในแนวคิดพัฒนาได้แก่การเคลือบผิวถุง lipid nanoparticle ด้วยโมเลกุลของน้ำตาล ซึ่งจะช่วยไม่ได้ถุงไขมันเกาะตัวกัน

แต่ก็ยังมีอีกหนึ่งแนวคิดที่น่าสนใจโดย HDT Bio บริษัทด้าน biotechnology ในอเมริกาที่กำลังพัฒนาโมเลกุลไขมันที่ผสมด้วยธาตุเหล็กที่เรียกว่า lipid inorganic nanoparticles หรือ LIONs เพื่อใช้ในการรักษามะเร็ง แต่เมื่อเกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ขึ้นมา พวกเขาจึงได้เบนเข็มการพัฒนา LIONs มาใช้ในการหุ้ม mRNA สำหรับทำวัคซีน

โดยโมเลกุลของ LIONs นี้จะมีสภาพทางไฟฟ้าเป็นขั้วบวกจากอนุภาคของธาตุเหล็ก ซึ่งก็จะเหนี่ยวนำกับโมเลกุลของ mRNA ที่มีสภาพทางไฟฟ้าเป็นขั้วลบ ทำให้โครงสร้างของถุงเก็บ mRNA นี้มีความแข็งแรงและมีเสถียรภาพมากขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยอุณหภูมิเย็นจัดในการรักษาสภาพ

ผลจากการทดลองใช้ LIONs ในการผลิตวัคซีนโควิด-19 และใช้ในสัตว์ทดลองนั้นก็ให้ผลเป็นที่น่าพอใจ และด้วย LIONs จะทำให้วัคซีนรุ่นใหม่ที่ใช้ LIONs นี้สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นธรรมดาได้นานเป็นเดือนและเก็บไว้ในอุณหภูมิห้องได้นานถึง 3 สัปดาห์เลยทีเดียว

แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเปลี่ยนไปใช้ LIONs ในการผลิตวัคซีนโควิตล็อตใหม่ได้ในเร็ววันนี้ เพราะยังไงก็ต้องได้รับการอนุมัติจาก FDA อยู่ดี เพราะเราก็ยังไม่รู้ว่าอนุภาคเหล็กใน LIONs นั้นจะส่งผลข้างเคียงอย่างอื่นหรือไม่

เพราะฉะนั้นแล้ว ณ วันนี้ก็คงทำได้เพียงการบริหารจัดการและดูแลการจัดส่งวัคซีนให้ดีที่สุด โดยประเด็นหนึ่งที่ต้องพิจารณาก็คือวัคซีนยังใช้ได้ดีอยู่หรือไม่ ไม่ได้เสียไปแล้วเพราะเครื่องแช่แข็งเสียระหว่างขนส่งหรือเปล่า?

หนึ่งในวิธีที่คิดค้นโดย PATH องค์กรด้านสุขภาพระดับโลกกับการใช้สติกเกอร์ที่จะเปลี่ยนสีถ้าหากได้รับอุณหภูมิสูงเกินกว่าที่กำหนด ซึ่งก็จะทำให้รู้ว่าวัคซีนที่ส่งมาถึงมือผู้ใช้งานนั้นเสื่อมสภาพแล้วหรือยัง ซึ่งจนถึงปัจจุบันสติกเกอร์นี้กว่า 9 พันล้านชิ้นได้ช่วยในการตรวจสอบการจัดส่งวัคซีนไปทั่วโลก

อีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ช่วยในการจัดส่งวัคซีนที่เย็นจัดเหล่านี้ไปยังประเทศโลกที่สามก็คือ the Arktek ถังเก็บความเย็นที่สามารถทำความเย็นให้กับของที่เก็บอยู่ข้างในได้ตั้งแต่ -20 ถึง -80 องศาเซลเซียส ขึ้นอยู่กับว่าใช้น้ำแข็งแห้งหรือน้ำผสม ethanol ในการให้ความเย็น

the Arktek พัฒนาโดยมูลนิธิ Bill และ Melinda Gates เพื่อเป็นอุปกรณ์สำหรับส่งวัคซีน ยา หรืออวัยวะปลูกถ่ายไปยังประเทศโลกที่ 3 ได้โดยใช้ต้นทุนต่ำ ซึ่งเริ่มผลิตและใช้งานตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งก็ได้ถูกใช้ในการส่งวัคซีนไปยังหลายประเทศในแอฟริกาในปี 2015 ช่วยหยุดการแพร่ระบาดของโรคอีโบล่าได้

โดย the Arktek หนึ่งถังสามารถบรรจุวัคซีนได้กว่า 750 ขวดและเก็บไว้ได้นาน 2 สัปดาห์ แต่ถ้าลดจำนวนวัคซีนเป็น 450 ขวดก็จะทำให้เก็บได้นานขึ้นเป็น 1 เดือนเลยทีเดียว

แม้ว่าการพัฒนาวัคซีน mRNA ให้ขนส่งได้ที่อุณหภูมิห้องยังคงต้องใช้เวลา แต่หากเมื่อไหร่ที่ทำได้สำเร็จเจ้าวัคซีน mRNA นี้จะมาช่วยให้มนุษย์เรารอดพ้นจากโรคร้ายได้อย่างแน่นอน

***************************************************************************

ทิ้งท้ายด้วยข้อมูลวัคซีนโควิด-19 ของ รพ. ศิริราช ข้อมูลโดย ศ. ดร. พญ. รวงผึ้ง สุทเธนทร์

อธิบายไว้ดีมาก ข้อมูล update ถึงกลางเดือนมกราคม

https://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/admin/article_files/1454_1.pdf

***************************************************************************

Reference

https://interestingengineering.com/viable-hiv-vaccine

https://www.thelancet.com/journals/lanmic/article/PIIS2666-5247(21)00042-2/fulltext

https://www.technologyreview.com/2021/03/29/1021383/covid-vaccine-cold-chain-innovation/

https://www.technologyreview.com/2021/02/05/1017366/messenger-rna-vaccines-covid-hiv/

https://interestingengineering.com/biontech-moderna-to-use-covid-vaccine-tech-for-other-treatments

https://www.prachachat.net/general/news-588454