มะเร็งถือเป็นโรคที่คร่าชีวิตมนุษย์เป็นอันดับต้นๆ สาเหตุเพราะมะเร็งบางชนิดตรวจจับยาก กว่าจะเจอก็ลุกลามยากจนเกินรักษาแล้ว ล่าสุดนักวิจัยได้พัฒนา AI มาช่วยในการตรวจเลือด สามารถระบุมะเร็งได้ถึง 50 ชนิดพร้อมบอกตำแหน่งที่เกิดในร่างกายได้ด้วย

ถ้าหากมะเร็งยังไม่แสดงอาการออกมายิ่งทำให้รู้ยากไปอีกว่าเรามีความเสี่ยงเป็นมะเร็งชนิดไหน ยิ่งมะเร็งมีหลายชนิดซึ่งแต่ละชนิดก็มีวิธีการตรวจหาที่ต่างกัน จึงเป็นการยากที่เราจะตรวจมะเร็งทั้งหมดทั่วร่างกายได้ในครั้งเดียวได้

ทางนักวิจัยจึงพัฒนาอัลกอริทึ่ม machine learning  เพื่อช่วยค้นหาการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีบางชนิดใน DNA ของมนุษย์ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับมะเร็ง วิธีนี้มีชื่อเรียกว่า methylation patterns  ในรูปแบบของการตรวจ cell-free DNA (cfDNA), หรือการตรวจปริมาณเซลล์ดีเอ็นเอที่ล่องลอยอยู่ในกระแสเลือด รวมถึงเซลล์มะเร็งด้วย

นักวิจัยได้ฝึกสอน AI ด้วยการใช้ตัวอย่างเลือดมากกว่า 3,000 ตัวอย่าง ซึ่งตัวอย่าง 50% มีเชื้อมะเร็งอยู่ ส่วนอีกครึ่งนึงไม่มีเชื้อ เมื่อ AI เรียนรู้รูปแบบของ methylation patterns จนเข้าใจแล้ว ค่อยนำไปตรวจสอบตัวอย่างเลือดใหม่อีก 1,200 ตัวอย่างที่มีเชื้อมะเร็งอยู่ครึ่งนึง

ผลพบว่า AI สามารถตรวจจับมะเร็งในตัวอย่างเลือดได้แม่นยำขึ้น ตรวจจับมะเร็งในระยะแรกได้ 18% ระยะที่สองได้ 43% ระยะที่สามได้ 81% และระยะที่4 ได้ถึง 93% เลยทีเดียว นอกจากนั้นยังสามารถระบุได้ว่าเนื้อเยื้อส่วนไหนเป็นต้นกำเนิดมะเร็ง ด้วยความแม่นยำ 93% ส่วนอัตรา false positive ผลบวกลวงหรือตรวจผิดพลาดที่บอกว่าเซลล์ปกติเป็นเซลล์มะเร็งอยู่ที่ 0.7% เท่านั้น

การวิจัยครั้งนี้ถือว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ ทางทีมเชื่อว่าจะช่วยในการตรวจจับมะเร็งหลายชนิดในช่วงเริ่มต้นจากการตรวจเลือดภายในครั้งเดียวด้วยอัตราการผิดพลาดที่ต่ำ นอกจากนั้นยังสามารถระบุตำแหน่งที่เกิดในร่างกายได้ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อแพทย์ในการวินิจฉัยเชิงลึกและทำการรักษาได้ต่อไป

ส่วนประเด็นที่ยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมคือ บางครั้งมะเร็งเกิดจากเชื้อไวรัส human papillomavirus (HPV) ทำให้การใช้ระบบ AI ตรวจหามะเร็งยากขึ้นว่าเกิดตรงจุดไหน ส่วนจุดอ่อนอีกข้อก็คือ การตรวจหามะเร็งในระยะแรกยังถือว่ามีความแม่นยำที่ต่ำอยู่ หากพัฒนาตรงนี้ขึ้นไปได้น่าจะช่วยเหลือชีวิตคนได้อีกเยอะเลยค่ะ เพราะถ้าตรวจพบไว้โอกาสรักษาหายก็สูงขึ้น

แน่นอนว่าระบบนี้ยังต้องใช้เวลาทดสอบทางคลินิกอีกสักพักเพื่อยืนยันว่าผลการตรวจสอบนั้นได้ผลจริงก่อนนำมาใช้งานในวงกว้าง สำหรับคนที่สนใจสามารถเข้าไปอ่านงานวิจัยได้ที่วารสาร  Annals of Oncology.

VIA New Atlas