ต้องยอมรับนะคะว่า COVID-19 นี่มีผลกระทบกับทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกของเรา ในแง่ของธรรมชาตินั้นก็อย่างที่เราเห็นตามข่าวมากมาย เพราะการที่ผู้คนบนโลกปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ทำ Social Distancing ไม่ออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านกันเท่าไหร่นัก.. พฤติกรรมเหล่านั้นจึงสะท้อนสู่ธรรมชาติที่ราวกับเกิดใหม่ ชายหาด ทะเล น้ำตก ภูเขา ป่าไม้.. ทุกอย่างกลับมาสะอาด การเว้นว่างจากมนุษย์ทำให้ธรรมชาติได้ฟื้นตัวเช่นกัน หรือแม้กระทั่งในชั้นโอโซน ที่รอยโหว่นั้นแคบลงที่สุดที่รอบ 30 ปี.. นั่นก็สะท้อนให้เห็นอะไรหลายๆอย่าง ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกนั้น.. มีพฤติกรรมของมนุษย์เป็นปัจจัยหลัก
และต้องยอมรับว่าในสถานการณ์ปัจจุบันนั้น.. เทคโนโลยีได้เข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตเราอย่างก้าวกระโดด.. และยังเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมของมนุษย์จนบางเรื่องเรามองว่าเป็นเรื่องปกติกันไปเสียแล้ว.. รวมทั้งยังมองไม่ออกว่าหากสถานการณ์ COVID-19 สงบลงแล้ว.. เราจะกลับไปอยู่จุดเดิมกันได้ยังไงและวันนี้เราจะพามาดู New Normal ที่จะไม่ Back to Normal อีกของโลกเทคโนโลยีกันค่ะ
- หลังวิกฤตผู้คนจะใช้ชีวิตระมัดระวังมากขึ้น
และนั่นก็ทำให้เกิดนวัตกรรมต่างๆ ที่จะเป็นด่านหน้าให้มนุษย์ในหลายๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเกี่ยวกับเรื่องของสุขภาพ การใช้ชีวิต หรืออะไรก็ตามที่คนคงจะเรียกหาเทคโนโลยีต่างๆก่อน ที่จะนำเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอย่างที่เคยเป็นมา
- หน่วยงาน องค์กร ภาครัฐ คือ จุดแรกที่ต้องเตรียมพร้อมกับทุกสิ่ง
แม้ว่าโรคระบาดจะไม่ได้มาบ่อยๆ.. แต่ที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่ทำให้ได้เรียนรู้ว่า การเตรียมความพร้อมและทำงานพร้อมๆกันทุกภาคส่วนคือสิ่งที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เป็นประโยชน์ และต้องเป็นด่านแรกๆ.. ที่เข้าใจการใช้งานเทคโนโลยีอย่างถ่องแท้ เพื่อที่จะให้ความรู้แก่ประชาชนได้อย่างถูกต้อง
- ในด้านการแพทย์
จะต้องดึงเทคโนโลยีเข้ามาใช้มากขึ้น อย่างที่เห็นได้จากช่วงวิกฤต COVID-19 ที่มีการใช้หุ่นยนต์ในการช่วยดูแลผู้ป่วยมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเตรียมการวิจัยถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะเข้ามามีบทบาทในวงการแพทย์ในอนาคตมากยิ่งขึ้น
- บริษัทและองค์กรต่างๆต้องเรียนรู้การ Work Every Where
Work Every Where หรือการทำงานจากที่ใดก็ได้แต่ยังได้รับประสิทธิภาพที่เหมือนเดิม ซึ่งเรื่องนี้เราก็เห็นกันได้อย่างชัดเจนในการ Work From Home ของหลายๆบริษัทที่เกิดขึ้นในช่วงนี้นะคะ.. และผลที่ได้ออกมาก็เป็นไปในทิศทางที่ดี โดยบางแห่งผลที่ออกมากลับดีขึ้นกว่าการนั่งทำงานในออฟฟิศด้วยซ้ำไป รวมถึงการใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชันต่างๆ โปรแกรม เครื่องไม้เครื่องมือที่ออกมากันมากมายในช่วงนี้ ซึ่งย้ำความคิดที่ว่า.. โลกสมัยนี้เชื่อมต่อกันได้อย่างไร้พรมแดนโดยแท้จริง
- ธุรกิจที่เป็นแพลตฟอร์มหรือสตาร์ทอัพจะถูกคิดริเริ่มมากขึ้น
ด้วยเหตุผลที่ว่าสามารถเข้ามาสนับสนุนการใช้ชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนไป เช่น บริการเดลิเวอรี่ที่ผุดเพิ่มขึ้นเป็นดอกเห็ด หรือการขายออนไลน์ที่เพิ่มสูงขึ้นหลายเท่าตัวจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ไม่นิยมออกจากบ้านนั่นเอง
- ยุคสังคมไร้เงินสดจะได้รับการยอมรับมากขึ้น
ซึ่งสามารถเห็นได้ชัดจากสถานการณ์นี้ ที่ทำให้คนหันมาใช้จ่ายผ่านออนไลน์เพื่อลดการสัมผัสเงิน ที่อาจจะทำให้สุ่มเสี่ยงต่อการติดต่อ ซึ่งหลังจากเหตุการณ์นี้แน่นอนว่าคนจะตระหนักได้ว่าการจ่ายเงินแบบไร้เงินสดนั้นมีผลดีและสะดวกสบายมากแค่ไหน อย่างน้อยก็หมดปัญหาเวลาไม่มีเงินสดติดตัว ไม่ต้องคอยหาตู้ ATM แบบที่ผ่านมาอีกต่อไป และไม่ใช่แค่เพียงผู้บริโภคฝ่ายเดียวเท่านั้น.. ผู้ให้บริการเองหลายแห่งก็หันมาเพิ่มช่องทางการชำระเงินทางออนไลน์กันมากขึ้น แม้จะเป็นการซื้อของหน้าร้านก็ตาม ดังที่เห็นได้จากป้าย QR Code ที่วางเรียงรายกันอยู่หน้าแคชเชียร์ ซึ่งปัจจุบันคนก็หันมาชำระเงินผ่านช่องทางนี้กันไม่น้อยเลยทีเดียว
- เหล่า Influencer จะได้รับความเชื่อถือและความนิยมมากขึ้น
ก็เพราะก้าวเข้าสู่โลกของเทคโนโลยี ที่เป็นช่องทางหลักของเหล่า Influencer ใช้สื่อสารกับผู้ติดตาม และนั่นก็ตามมาถึงการรีวิวต่างๆ รวมถึงการขายสินค้าของตัวเองอีกด้วย.. และเมื่อทำการสื่อสารกันผ่านช่องทางออนไลน์กันตั้งแต่ต้นแล้วล่ะก็.. หากจะเกิดการซื้อขายขึ้นตามมา.. ช่องทางการแลกเปลี่ยนซื้อขายก็จะย้อนกลับไปข้อก่อนหน้า.. ซึ่งก็คือการซื้อขายแบบไร้เงินสดนั่นเอง
- AI จะเข้ามามีบทบาทในการใช้ชีวิตมากยิ่งขึ้น
หลายๆท่านอาจจะไม่ทราบว่าทุกวันนี้ การใช้ชีวิตของคนเรานั้นก็ถูกติดตามโดย AI กันอย่างไม่รู้ตัวอยู่แล้ว.. แต่อย่าเพิ่งตกใจกันไปนะคะ.. เพราะเขาไม่ได้มาเพื่อคุกคามเราแต่อย่างใด.. แต่เขาตามเรามาจากการใช้ชีวิตของเราบนโลกไซเบอร์นี่แหละค่ะ.. ถ้านึกไม่ออก.. ลองย้อนกลับไปดู Social Media ที่แต่ละคนใช้งานกันอยู่ได้เลยค่ะ.. ว่ามีไหม ที่อยู่ๆก็มีสินค้าหรือเรื่องราวต่างๆโผล่เข้ามาในหน้า Feed ของ Facebook หรือหน้า Timeline ของ Twitter ของเรา.. ทั้งๆที่เราไม่ได้กดติดตามเพจพวกนี้เลยด้วยซ้ำ.. นั่นแหละค่ะคือการทำงานของ AI ส่วนหนึ่ง ที่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียพวกนี้ใช้ติดตามการใช้งานของเรา.. ถ้าสังเกตดีๆก็จะพบว่า สิ่งที่โผล่มาบนหน้าฟีดหรือไทม์ไลน์ของเรานั้น จะเป็นสิ่งที่เรากำลังสนใจหรือเพิ่งค้นหาไปเมื่อไม่นานมานี้ค่ะ.. น้อง AI เขาก็จะทำการวิเคราะห์พฤติกรรมเรา.. แล้วนำเสนอสิ่งที่เรากำลังสนใจขึ้นมาให้เราโดยอัตโนมัตินั่นเองค่ะ
เรียกได้ว่าหลายๆอย่างที่กล่าวถึงไปนั้นได้เกิดขึ้นกับชีวิตประจำวันของเราไปแล้วนะคะ.. โดยส่วนตัวเราเองนี่จะโดนเรื่องสังคมไร้เงินสด.. และน้อง AI อยู่บ่อยๆ.. แบบว่าน้องเสนอมาปุ๊บ.. เงินปลิวปั๊บเลย.. รู้ใจกันจริงๆเชียว..