โลกทุกวันนี้หมุนไปเร็วมากโดยการหมุนที่ว่านี้ไม่ใช่การหมุนของโลกหากแต่เป็นสภาพแวดล้อมรอบตัวที่เราเผชิญอยู่ การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่อยู่รอบตัวที่ถ้าหากเราเป็นคนสูงวัยหรือใกล้เกษียณอาจจะรู้สึกว่าตามโลกไม่ค่อยจะทันแล้ว สำหรับวัยกลางคนหลายคนก็อาจจะสังเกตได้ว่าช่วง 10 ปีหลังนี้โลกเปลี่ยนไปเร็วมากกว่าที่เคยเจอมาทั้งชีวิต

และโลกก็ยังไม่หยุดการเปลี่ยนแปลงในอัตราเร่งนี้ นักวิเคราะห์หลายสำนักได้ให้ความเห็นว่าความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในทศวรรษหน้านั้นอาจจะมากกว่าที่เป็นมาในรอบ 100 ปีที่ผ่านมาเสียด้วยซ้ำ ทั้งพื้นฐานความรู้ อาชีพ ข้าวของเครื่องใช้อาจจะเปลี่ยนไปจนเหมือนว่าเรานั่งไทม์แมชชีนไปสู่โลกอนาคตราวกับอยู่ในภาพยนต์ไซไฟที่เคยจินตนาการว่าจะเกิดขึ้นในอีกหลายสิบปีข้างหน้า

วันนี้เราจะมาอัพเดทเทรนด์เทคโนโลยีที่กำลังจะมาเปลี่ยนชีวิตเราในไม่อีกกี่ปีข้างหน้านี้ มาดูกันว่ามีอะไรที่น่าสนใจกันบ้างหรือว่าจะมีเทคโนโลยีตัวไหนที่อาจจะมากระทบกับงานหรืออาชีพของเราบ้างหรือไม่ เพื่อที่จะได้เตรียมปรับตัวกันให้ทันโลกที่ไม่เคยหยุดหมุน แถมเทคโนโลยีที่ถูกคิดค้นขึ้นใหม่อยู่ตลอดเวลาก็เป็นตัวเร่งเวลาของโลกนี้ให้หมุนเร็วยิ่งขึ้นไปอีก

เทคโนโลยีในอนาคตจะมากันเป็นทีม

เทรนด์เทคโนโลยีในอนาคตหลายอย่างจะก่อประโยชน์ให้กับกิจการและผู้คนได้อย่างมหาศาลเมื่อถูกนำมาใช้งานแบบบูรณาการร่วมกับเทคโนโลยีอื่น ตัวอย่างเช่น การประยุกต์ใช้ IoT ร่วมกับหุ่นยนต์และ AI ทำให้ในอนาคตเราสามารถควบคุม ฝึกสอนและติดตามหุ่นยนต์ในโกดังสินค้าที่ทำหน้าที่คัดแยกสินค้าแทนคนงาน ให้พวกมันได้เรียนรู้และพัฒนาวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ (ลองนึกภาพหุ่นยนต์ที่สามารถเลือกวิธีการคัดแยกสินค้าที่รวดเร็วที่สุดได้ผ่านการเรียนรู้จากข้อมูลที่ได้จากผู้ควบคุมระยะไกล)

หรือการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี VR, AR, IoT รวมถึง Big Data ในการสร้าง Digital Twin แบบจำลองเสมือนจริงแบบ Real Time ที่ทำให้เราสามารถทำการจำลองรูปแบบสถานการณ์ต่าง ๆ หรือสร้างและทดสอบสินค้าตัวใหม่ได้โดยไม่ต้องลงทุนทดสอบด้วยของจริงซึ่งช่วยลดความเสี่ยงและต้นทุนให้กับกิจการได้อย่างมาก

เทคโนโลยีในกลุ่มนี้จะมีอะไรกันบ้างเรามาดูกัน

1. Next-Level Process Automation และ Process Virtualization

เทคโนโลยีในกลุ่มนี้ได้แก่ Robotics IoT: การใช้ Internet of things กับหุ่นยนต์อุตสาหกรรม, CoBots: หุ่นยนต์หลายประเภทที่ทำงานร่วมกัน, RPA: ระบบการผลิตด้วยหุ่นยนต์แบบอัตโนมัติ ซึ่งจะมาช่วยในการพัฒนากระบวนการผลิตและทดแทนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม

ส่วน Process Virtualization ได้แก่ VR/AR: เทคโนโลยีสร้างความจริงเสมือนหรือเติมแต่งเข้าไป, Digital Twin: การสร้างแบบจำลองเสมือนด้วยข้อมูลดิจิทัล, 3D Printing: เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ ซึ่งเทคโนโลยีกลุ่มนี้จะช่วยให้การพัฒนาสินค้าหรือ Process การทำงานใหม่ ๆ ทำได้รวดเร็วขึ้น

2. Future of connectivity

การเชื่อมโยงโลกทั้งใบเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งเทคโนโลยีในกลุ่มนี้ได้แก่ 5G/6G, IoT รวมถึงอินเตอร์เนตผ่านดาวเทียมอย่าง Starlink ของ SpaceX ซึ่งความเร็วในการเชื่อมต่ออินเตอร์เนตและความครอบคลุมนั้นจะสามารถเข้าถึงผู้คนและทุกพื้นที่บนโลกจนทำให้โลกไร้พรมแดนอย่างสมบูรณ์

3. Distributed Infrastructure

ยุคนี้อะไร ๆ ก็ Cloud ทั้งการเก็บข้อมูล แชร์ไฟล์ และในอนาคตพลังการประมวลผลก็จะยังอยู่บนก้อนเมฆนี้ด้วย Cloud Computing เทคโนโลยีที่จะทำให้เราเข้าถึงพลังการประมวลผลระดับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ได้จากทุกมุมโลก ไม่ต้องลงทุนซื้อ Hardware ราคาแพงมหาศาลเพื่อแลกกับพลังประมวลผลอีกต่อไป

4. Next Generation Computing

Quantum Computing กับการประมวลผลด้วย Quantum Computer ที่มีพลังประมวลผลเหนือกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องบนโลกรวมกัน รวมถึง ASIC ชิปประมวลผลเฉพาะทางที่สร้างมาให้เหมาะกับงานที่ต้องการไม่ว่าจะเป็นด้าน AI หรืองานเข้ารหัส Crypto encrypted ที่ใช้กับเทคโนโลยี Blockchain

5. Applied AI

ปัจจุบันอะไร ๆ ก็ต้อง AI อีกเช่นกัน ขนาดหม้อหุงข้าวก็ยังมี AI  แต่ AI นั้นยังมีศักยภาพได้อีกมากมายโดยเฉพาะการเข้ามาทำงานซ้ำ ๆ ที่แสนจะน่าเบื่อหน่ายแต่ก็ยังมีข้อผิดพลาดได้อยู่เนือง ๆ เมื่อใช้คนทำ และอีกไม่นาน AI ที่คุยรู้เรื่องกว่าคนจริง ๆ อาจจะเกิดขึ้นได้ในอีกไม่กี่ปีนี้

6. Future of Programming

Software 2.0 กับแนวทางการพัฒนา Software ที่ลดความซับซ้อนของตัวโปรแกรมซึ่งจะเหมาะกับ CPU ที่ใช้สถาปัตยกรรม ARM อย่างเช่น CPU M1 ของ Apple รวมถึงกลุ่ม CPU ที่ใน Smart phone และ Tablet ทำให้เหล่าผู้พัฒนา Software อาจต้องมีการปรับตัวกันขนานใหญ่

7. Trust Architecture

ยุคของ DeFi (Decentralized Finance)ที่การทำธุรกรรมโดยตรงระหว่างบุคคลกับบุคคลหรือองค์กรกับองค์กรกันเองโดยไม่ต้องผ่านตัวกลางอีกต่อไป Blockchain กำลังจะมา Disrupt ในหลายวงการ แต่ก็ทำให้เกิดช่องว่างในการโจมตีทางไซเบอร์ที่หนักหน่วงขึ้นการโจมตีเรียกค่าไถ่ที่มีมูลค่าหลายพันล้านมีข่าวให้เห็นกันบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ Zero trust security เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ในทุกการเชื่อมต่อต้องมีการยืนยันในหลายรูปแบบ การ Login ก็ต้องมีระบบปลดล็อคอย่างน้อย 2 ขั้นที่ผูกกับอุปกรณ์มือถือ

เทคโนโลยีใน 7 กลุ่มที่กล่าวมานี้โดยตัวมันเองที่เป็นอยู่ก็ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรม  กิจการต่าง ๆ หรือแม้แต่กลุ่มแรงงานเป็นอย่างมากแล้ว แต่นั่นยังเป็นแค่การเริ่มต้นเพราะเมื่อผนวกรวมการใช้งานเทคโนโลยีเหล่านี้ผ่านการพัฒนาแบบองค์รวมเข้าด้วยกันแล้วจะทำให้เกิด Model ทางธุรกิจใหม่ที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าและสร้างโอกาสให้หลาย ๆ กิจการ รวมถึงยังก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมามากมายอย่างที่เราเห็นกันอยู่ในทุกวันนี้

และด้วยรูปแบบการพัฒนาเทคโนโลยีแบบองค์รวมนี้แม้จะเป็นกิจการ Startup ก็จะสามารถสร้างโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจที่สามารถเบียดแย่งส่วนแบ่งตลาดจากเจ้าตลาดหรือก่อให้เกิดตลาดใหม่ ๆ ขึ้นมาเลยก็ได้

ถ้างั้นเราลองมาดูตัวอย่างของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีจากหลายกลุ่มแบบองค์รวมเพื่อสร้างสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าและช่วยให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้นกัน

การพัฒนา Platform ซื้อขายไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยี Blockchain, IoT และ AI

อีกไม่นานผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถผันตัวมาเป็นผู้ขายไฟกลายเป็น Prosumer หรือ Production by Consumer เมื่อผู้ผลิตและผู้บริโภคกลายเป็นคนเดียวกัน ในระบบไฟฟ้าที่บริหารจัดการแบบอัตโนมัติ เพื่อให้เราสามารถมีไฟฟ้าใช้ในราคาที่ถูกและรักษ์โลกด้วยการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เมื่อเรามีแผงโซล่าเซลล์ที่ติดบนหลังคาแล้วอยากขายไฟให้กับเพื่อนบ้านโดยตรงในอนาคตมันก็อาจเป็นไปได้

ซึ่งการพัฒนา Platform นี้ต้องใช้เทคโนโลยีในหลายสาขามากจึงจะทำให้เป็นจริงได้ เพราะต้องเป็นการเชื่อมโยงกันทั้งโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ เช่นระบบไฟฟ้า มิเตอร์ซื้อขายไฟซึ่งต้องเป็นแบบพิเศษที่รองรับ IoT ตัว Platform ที่สร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยี Blockchain ซึ่งบริหารจัดการระบบแบบอัตโนมัติที่ต้องมีการตัดสินใจเพื่อจัดการให้ระบบจ่ายไฟฟ้าสามารถรับและส่งถ่ายพลังงานได้อย่างเหมาะสมต้นทุนต่ำและจำเป็นต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งแน่นอนว่าการใช้คนควบคุมไม่สามารถทำได้แน่จึงต้องมีการนำ AI มาใช้ในการทำหน้าที่นี้

เทคโนโลยีรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Self-Driving Car)

ปัจจุบันการสั่งงานด้วยเสียงเริ่มมีใช้งานกันในรถหลายยี่ห้อ แต่อีกไม่นานเมื่อเราขึ้นนั่งบนรถเพียงแค่พูดบอกที่หมาย รถยนต์ของเราก็จะสามารถค้นหาเส้นทางที่รวดเร็วที่สุดและก็เริ่มเดินทางไปยังจุดหมายในระหว่างที่เราหยิบเอา Tablet ขึ้นมานั่งทำงานหรืออัพเดทข่าวโซเชียลได้โดยที่มือไม่ต้องแตะพวงมาลัยเลย ไม่ว่าจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นหรือมีม๊อบ AI ในรถของเราก็สามารถรับรู้ข้อมูลและปรับเส้นทางเพื่อหลีกเลี่ยงเส้นทางที่ไม่พึงประสงค์เหล่านี้ได้โดยอัตโนมัติจากข้อมูลที่ Update แบบ real-time

แต่การจะทำสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นให้เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้หลายเทคโนโลยีผสมผสานกัน เริ่มตั้งแต่เทคโนโลยีตรวจจับและรับรู้สภาพแวดล้อมของตัวรถ รถจะต้องรู้ว่ามีอะไรอยู่รอบ ๆ บ้าง มีรถ คน สัตว์และสิ่งกีดขวางอะไรหรือเปล่า ซึ่งปัจจุบันมีทั้งการใช้กล้องควบคู่กับ Lidar/Radar ในการเป็นหูตาของรถ และระบบก็ต้องรับรู้ตำแหน่งปัจจุบันของตัวรถเพื่อที่จะสามารถเลือกเส้นทางที่เหมาะสมและหลีกเลี่ยงรถติดได้ ซึ่งก็ต้องมีการใช้ GPS และ IoT เพื่อให้ได้ข้อมูลที่จะนำมาประมวลผลได้ ซึ่งการตัดสินใจเลือกเส้นทางนั้นก็ต้องใช้การตัดสินใจด้วย AI และเจ้า AI นี้ก็ต้องมีการตัดสินใจที่รวดเร็วและแม่นยำจึงต้องประมวลผลโดยใช้ชิปประมวลผลเฉพาะทาง(application-specific integrated circuit หรือ ASIC) เพื่อให้สามารถทำหน้าที่ควบคุมรถยนต์อัตโนมัติได้อย่างสมบูรณ์ราวกับโชเฟอร์ชั้นหนึ่งได้

แต่จากที่กล่าวมาข้างต้นก็ยังมีกลุ่มเทคโนโลยีที่เพียงลำพังตัวมันเองก็ยังส่งอิทธิพลต่อโลกได้อย่างมากแม้ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับกลุ่มเทคโนโลยีอื่น แล้วจะมีอะไรกันบ้าง

เทรนด์เทคโนโลยีแบบแยกกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะเข้ามากระทบชีวิตเราในไม่อีกกี่ปีข้างหน้า

1. กลุ่ม Bio Tech

เทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูง: กลุ่มนี้แน่นอนว่าเกี่ยวข้องกับสุขภาพของเรา และช่วงนี้กำลังเป็นที่จับตามองเพราะผู้คนกำลังให้ความสนใจกับเทคโนโลยีในการผลิตวัคซีนโควิด-19 อย่างวัคซีน mRNA และ Viral Vector นั้นก็ถือเป็น Platform ใหม่ของการพัฒนาวัคซีนที่เพิ่งมีการนำมาใช้งาน และยังมีอีกหลายเทคโนโลยีที่เป็นความหวังในการรักษาโรคร้ายต่าง ๆ เช่น การรักษาเชิงพันธุกรรมด้วยเทคโนโลยี CRISPR/Cas9 ความหวังในการรักษาโรคมะเร็งและโรคเอดส์ก็กำลังจะเป็นจริงนอีกไม่นานแล้ว

2. Next Generation Material

วัสดุแห่งอนาคต: เทคโนโลยีด้านวัสดุนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะข้อจำกัดในการพัฒนาเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์หลาย ๆ อย่างนั้นมาจากข้อจำกัดของตัววัสดุ ซึ่งการพัฒนาวัสดุชนิดใหม่อย่างเช่น กราฟีน(วัสดุสังเคราะห์ที่มีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบแต่มีคุณสมบัติที่ต่างจากคาร์บอนในธรรมชาติ ซึ่งมีศักยภาพสูงมากในงานอุตสาหกรรม) รวมถึงวัสดุที่จะนำมาทำแผงโซล่าเซลล์ประสิทธิภาพสูงที่หลายทีมวิจัยกำลังแข่งขันกันพัฒนานั้นจะเป็นสิ่งที่จะมาเปลี่ยนโลกได้อย่างมาก

3. Clean Power Technology

พลังงานสะอาด: อีกหนึ่งปัญหาเร่งด่วนที่เป็นวาระของชาวโลกก็คือปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศหรือปัญหาภาวะโลกร้อน ดังนั้นเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเทคโนโลยีพลังงานสะอาดจึงเป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่งในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน

ปัจจุบันถึงแม้จะมีการเร่งพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม รวมถึงพลังงานหมุนเวียนรูปแบบอื่นแต่ก็ยังไม่อาจสร้างการเปลี่ยนแปลงที่เร็วพอที่จะแก้ไขสถานการณ์ ทำให้ต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีอื่นควบคู่เช่น เทคโนโลยีแบตเตอรี่สำหรับกักเก็บพลังงานเพื่อใช้ควบคู่กับระบบผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานหมุนเวียน โดยปัจจุบันแบตเตอรี่โซเดียมไอออนก็กำลังจะออกสู่ตลาดให้ได้ใช้งานกันซึ่งมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแต่รักษ์โลกกว่า เพราะไม่ต้องใช้ธาตุโลหะหายากซึ่งกระบวนการที่จะได้มาต้องอาศัยขั้นตอนที่ส่งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างลิเธียมเป็นส่วนประกอบแต่ใช้โซเดียมซึ่งมีอยู่อย่างมหาศาลในธรรมชาติอย่างเช่นในเกลือที่เราใช้รับประทาน และผลิตได้ง่ายด้วยกระบวนการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตทดแทนที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก(Carbon-Neutral Technology) ซึ่งหลาย ๆ กิจการก็เริ่มประกาศนโยบายและนำมาเป็นจุดขายในการทำ CSR ผลิตภัณฑ์ของตนไม่ว่าจะในระดับโลกหรือในประเทศ อย่างบ้านเราก็ได้แก่ กลุ่มSCG, CP, บางจาก, ยูนิลิเวอร์ ฯลฯ

*****************************************************************************************************************************

จากที่แนะนำมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเทรนด์เทคโนโลยีที่กำลังจะมามีผลกระทบต่อโลกและชีวิตเราในเวลาอีกไม่นาน ซึ่งก็ยังมีเทคโนโลยีอีกมากมายที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาและทยอยกันออกมาสู่ตลาดให้เราได้ใช้งานกัน

ด้วยอัตราการพัฒนาเทคโนโลยีที่นับวันจะมีความรวดเร็วมากขึ้น กลับกลายเป็นว่าความเข้าใจในเทคโนโลยีของผู้คนในสังคมและบริบทที่เกี่ยวข้องกับการนำเทคโนโลยีมาใช้งานอาจจะเดินไปไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ มีหลายประเด็นที่ผู้เชี่ยวชาญต่างก็แสดงความกังวล อาทิเช่น

  • ประเด็นด้านศีลธรรมกับการใช้งานเทคโนโลยีขั้นสูง ทั้ง Bio Tech ที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรมและนิยามของความเป็นมนุษย์
  • ประเด็นด้านความปลอดภัยในการใช้งานเทคโนโลยี เช่น ระบบขับเคลื่อนรถยนต์อัตโนมัติ หากเกิดเหตุสุดวิสัยที่ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ ความปลอดภัยในการเข้าถึงข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานอุปกรณ์พกพา เช่น Smart Phone
  • ประเด็นด้านกฎหมายที่เหล่านักกฎหมายและฝ่ายกำกับนโยบายที่จะต้องศึกษาและปรับปรุงให้ทันกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่อาจจะก่อให้เกิดข้อขัดแย้งใหม่ที่รุนแรงขึ้นในอนาคต

*****************************************************************************************************************************

และนี่ก็คืออัพเดทเทรนด์เทคโนโลยีที่กำลังจะมาเปลี่ยนแปลงโลกของเราในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หากจับกระแสได้และปรับตัวได้ทันเชื่อว่าจะสามารถสร้างโอกาสดี ๆ ให้กับตัวเราและโลกใบนี้ได้เป็นอย่างมาก

Source:

https://pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/364/CRISPR/Cas9/

https://www.gartner.com/en/newsroom/press-releases/2020-10-19-gartner-identifies-the-top-strategic-technology-trends-for-2021

https://www.consulting.us/news/5419/the-top-technology-trends-for-2021-and-2022

https://www.computer.org/publications/tech-news/trends/2022-report

https://irena.org/-/media/Files/IRENA/Agency/Publication/2020/Jul/IRENA_Peer-to-peer_trading_2020.pd