เมื่อก่อนคนใช้มือถือและแท๊ปเล็ตเข้าเว็บเล่นอินเตอร์เน็ตซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ตอนนี้พฤติกรรมเปลี่ยนไปใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับเล่นแอพแล้ว

นี่คือข้อมูลการสำรวจล่าสุดของนักวิเคราะห์จาก Flurry บริษัทวิเคราะห์ซึ่งขายข้อมูลและโฆษณาที่ทำงานร่วมกับแอพลิเคชั่นบนมือถือ ซึ่งเหล่านักการตลาดและนักโฆษณาต่างก็ให้ความสนใจอยากรู้ว่าคนจะให้ความสนใจ ได้ดูโฆษณาของพวกเค้าเป็นเวลานานแค่ไหน

จากการสำรวจเมื่อหนึ่งปีครึ่งก่อน พบว่าคนจะใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 64 นาทีต่อวันในการเข้าอินเตอร์เน็ตด้วยมือถือหรือแท๊ปเล็ต และใช้เวลาเฉลี่ย 43 นาทีต่อวันในการเล่นแอพต่างๆ แต่จากการสำรวจครั้งล่าสุดของ Flurry ที่เปิดเผยเมื่อต้นเดือนผ่านบล็อกของบริษัท พบว่าตัวเลขได้เปลี่ยนไป เพราะคนหันมาใช้แอพเฉลี่ย 94 นาทีต่อวัน และเข้าอินเตอร์เน็ตท่องเว็บเพียง 72 นาที นั่นไม่เพียงแต่บอกว่าคนใช้เวลาเกือบๆ 3 ชั่วโมงต่อวันในการจ้องมือถือ แต่ปริมาณการใช้มือถือโดยรวมยังเพิ่มขึ้นจากเดิมด้วย

อะไรที่เป็นปัจจัยที่ช่วยให้อัตราการใช้แอพลิเคชั่นเพิ่มขึ้น?

จากรายงานของ Flurry พบว่าผู้บริโภคยังใช้เวลาในการเข้าแอพแต่ละครั้งเท่าเดิม แต่มีการเข้าใช้แอพบ่อยขึ้นก็เลยทำให้ตัวเลขโตขึ้น นอกจากนี้คนยังใช้แอพต่างๆแทนการเข้าไปใช้งานเว็บไซต์โดยตรงเลย เพราะใช้งานได้สะดวกกว่า ยกตัวอย่างเช่น เฟซบุ้ค ทวิตเตอร์ หรืออีเมล Flurry คาดการณ์ว่าผู้ใช้สมาร์ทโฟนจะยังคงใช้เวลากับแอพและการท่องเว็บเพิ่มขึ้นอีก แม้ว่าในความเป็นจริงตัวเลขที่สำรวจตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนธันวาคม 2011 เวลาเฉลี่ยที่คนใช้เล่นเว็บบนมือถือจะลดลงเล็กน้อยก็ตาม

ทำไมคนเข้าเว็บผ่านมือถือน้อยลง?

จากรายงานของ Flurry พบว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะความยอดนิยมของแอพเฟซบุ้คทำให้คนไม่ค่อยเข้าไปใช้งานผ่านเว็บโดยตรง ในเดือนมิถุนายน 2011 ผู้ใช้เฟซบุ้คจะใช้เวลาเฉลี่ย 33 นาทีบนเว็บไซต์ด้วยการเข้าทางมือถือ แต่วันนี้ตัวเลขลดลงเหลือแค่ 24 นาที คนหันไปเข้าใช้งานเฟซบุ้คและบริการออนไลน์ผ่านแอพพลิเคชั่นเพิ่มขึ้น แต่ถ้าตัดปัจจัยอย่างเฟซบุ้คออกไป จะพบว่าผู้ใช้เข้าเว็บด้วยมือถือเพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน นั่นแสดงให้เห็นว่าทั้ง mobile Web, mobile browsers และธรรมชาติของแอพบนมือถือกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างเร็วมาก

นอกจากนี้หลายๆเว็บไซต์กำลังพยายามนำ HTML5 มาใช้ ซึ่งมันจะทำให้เว็บไซต์มีฟีเจอร์ต่างๆเหมือนแอพลิเคชั่นมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น HTML5 สนับสนุนเรื่องพิกัด จึงทำให้สร้างแบบฟอร์มในเว็บง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใส่หมายเลขโทรศัพท์, สนับสนุน coding scripts ที่ช่วยให้ปรับแต่งฟีเจอร์ต่างๆได้ รวมถึงการโหลดมัลติมีเดียต่างๆในเว็บก็ทำได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เป็นผลให้หลายๆแอพสามารถใช้งานผ่านเว็บบราวเซอร์ในรูปแบบที่เราเรียกว่า Web apps

เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา Adobe ได้ประกาศยุติการพัฒนา Flash สำหรับอุปกรณ์พกพา นี่ยิ่งเป็นการส่งเสริมให้ผู้พัฒนาหันมาใช้ HTML5 ในการแสดงผลฟีเจอร์อินเตอร์แอคทีฟและวิดีโอต่างๆแทน หลายๆเว็บที่พัฒนาจาก Flash ก็เริ่มเปลี่ยนมาใช้ HTML5 เช่นกัน ถือเป็นการจบสงครามอันยาวนานตั้งแต่แอปเปิ้ลยืนกรานปฎิเสธที่จะนำ Flash มาใช้บนอุปกรณ์ iOS ของตน

การมาของ HTML5 mobile Web apps จะมาแบ่งผลกำไรจากแอพยอดนิยมในตลาด

การที่เว็บไซต์ย้ายมาสู่ HTML5 ด้วยการเปลี่ยนตัวเองเป็น Web apps จะช่วยให้ลดการพึ่งพาบริษัทอย่าง Apple และ Google ที่คิดส่วนแบ่งรายได้ 30% จากการขายแอพพลิเคชั่น

นี่ถือเป็นแแรงจูงใจชั้นเยี่ยมสำหรับนักพัฒนาแอพ, digital publishers และผู้ให้บริการออนไลน์ในการเริ่มพัฒนา Web apps ให้มากยิ่งขึ้น รวมถึงโบนัสอย่าง “Native apps” ที่ถูกสร้างเพื่อให้ใช้ได้กับแพลตฟอร์มหนึ่งๆโดยเฉพาะ นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมแอพจึงต้องมีหลายเวอร์ชั่นแยกไปตามแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งการแยกทำแอพเดียวแต่ลงหลายๆแพลตฟอร์มเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและมีค่าใช้จ่ายสูง แต่ HTML5 จะช่วยทำให้แอพสามารถทำงานข้ามแพลตฟอร์มได้ นั่นหมายความว่าคุณเขียนแอพแค่ครั้งเดียว แต่สามารถรันบนบราวเซอร์ของมือถือแพลตฟอร์มใดๆก็ได้ แถมยังไม่ต้องดาวน์โหลด, ติดตั้ง หรืออัพเดทอะไรเลย แค่เปิดมาก็ใช้งานเท่านั้น

แต่การมาของ HTML5 จะทำให้คนหันไปใช้ Web apps บนบราวเซอร์กันมากขึ้นหรือคนจะยังนิยมใช้ native apps ต่อไปคงต้องให้กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์แล้วค่ะ

VIA CNN