รถแท็กซี่ไร้คนขับจากแอป Lyft เรียกว่าเป็นกระแสร้อนสุดๆในงาน CES 2018 ที่ใครที่แวะไปงานต้องลองเรียกทดสอบใช้งานจริง

Lyft

ตอนนี้สื่อที่เข้าร่วมงาน CES 2018 ต่างก็อวดกันหนักมาก หลังจากที่ไปลองทดสอบเรียกรถแท็กซี่ผ่านแอป Lyft ในบริเวณงาน เพราะแทฌกซี่ที่เรียกมานั้นเป็นรถยนต์ไร้คนขับค่ะ ซึ่งตอนนี้สามารถเรียกไปรับส่งได้เฉพาะ 20 จุดที่กำหนดไว้แล้วเท่านั้น

ก่อนหน้านี้ทาง Lyft ประกาศชัดเจนวางแผนพัฒนารถแท็กซี่ไร้คนขับร่วมกับบริษัท Aptiv ซึ่งงาน CES ปีนี้ก็ได้นำรถเดโมมาให้ทดสอบเรียกใช้งาน เพื่อลองให้รู้ว่าเมื่อเปิดใช้งานจริงแล้วจะมีประสบการณ์ใช้งานเป็นยังไง ซึ่งเทคโนโลยีคาดว่ากว่าจะได้ใช้งานจริงบนท้องถนนนั้นอาจจะต้องใช้เวลาอีกหลายปี

ทางรัฐเนวาด้าถือเป็นอีกรัฐนึงที่อนุญาตให้ทดสอบรถยนต์ไร้คนขับบนถนนสาธธารณะได้แต่ก็ยังมีข้อจำกัดบางอย่างอยู่ เช่น ต้องมีคนที่ผ่านการฝึกฝนมาแล้ว นั่งอยู่หลังพวงมาลัยตลอดเวลา เพื่อคอยควบคุมรถในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน ทาง CNN ได้ทดสอบนั่งในระยะทาง 5.6 กิโลก็พบว่าการขับนั้นทำได้อย่างไหลลื่นทีเดียว แต่ก็มีบางจังหวะที่รถหยุดหรือขยับโดยไม่ได้ตั้งตัว ซึ่งคนขับเองไม่อนุญาตให้คุยกับผู้โดยสารเมื่ออยู่ในโหมดขับอัตโนมัติเพื่อให้มีสมาธิกับท้องถนนมากกว่าการขับรถยนต์ทั่วไป

เมื่อรถเข้าสู่ย่านสี่แยกที่มีการจราจรคับคั่ง ซึ่งอาจทำให้ตัวรถสับสนกับสัญญาณไฟจราจรได้ เมื่อสัญญาณเริ่มเปลี่ยนเป็นไฟเหลือง คนขับก็จะเหยีบคันแร่งเพื่อให้ผ่านแยกไปได้ ในส่วนของการเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาหรือเปลี่ยนเลนนั้นก็จะระมัดระวังรถที่อยู่ด้านข้าง

ด้านในรถจะมีจอ dashboard แสดงวัตถุ, คนหรือรถยนต์คันอื่นๆที่อยู่ในรัศมีเรดาร์และเซนเซอร์ของรถ ตัวรถมาพร้อมเซนเซอร์ lidar 9 ตัว, เรดาร์ 10 ตัวและกล้องอีก 2 ตัวฝังเข้าไปกับตัวรถ เมื่อมารวมกับซอฟท์แวร์ที่ออกแบบมาเป็นอย่างดีจึงทำให้ระบบมีความปลอดภัยสูงโดยไม่ต้องมีคนขับก็ได้ นั่นหมายความว่าต่อไปในอนาคตถ้าระบบได้รับความนิยม คนขับรถแท็กซี่อาจจะตกงานก็ได้

ทาง Lyft โปรโมทรถแท็กซี่ไร้คนขับว่าจะสร้างแรงกระเพื่อมด้านบวกให้กับโลกใบนี้ เพราะมันจะช่วยลดการใช้รถยนต์ ช่วยลดปัญหาการหาที่จอดรถ นอกจากนั้นยังเผยวิสัยทัศน์เปลี่ยนการเดินทางให้มีความเป็นโซเชียลมากขึ้น โดยแอปจะดูความชื่นชอบด้านต่างๆของคุณจากการใช้งานมือถือ เช่น เพลง, podcast, รสนิยมการอ่านหนังสือเพื่อให้เวลาใช้งานบริการ Car pool จะได้นั่งกับคนที่มีความสนใจคล้ายกัน

VIA CNN